อาภรรพ์ภูกระดึง

คว่ำป้าย "ห้ามเข้า"

...วัยรุ่น 10 คนไปเที่ยวภูกระดึงกัน โดยก่อนไปยายของเหน่งได้บอกว่าให้ขอขมาเจ้าที่เจ้าทางก่อนที่จะขึ้นไปบนภู เหน่งได้บอกบอยเป็นคนแรกเลย แต่บอยบอกว่าไม่ต้องหรอกเพราะว่าเสียเวลา พวกเค้าทั้ง 10 คนเลยขึ้นไปโดยที่ไม่ได้ขอขมา แล้วพอเดินขึ้นไปเจอทางเข้าที่มีป้ายบอกว่า "ห้ามเข้า" เพราะเป็นส่วนที่เก็บไว้วิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทั้ง 10 คนไม่ได้สนใจกลับเดินเข้าไปและยังคว่ำป้าย "ห้ามเข้า" ลงเพราะว่าเผื่อจะมีคนอื่นเดินตามขึ้นมาด้วยกัน - -


อาภรรพ์ภูกระดึง

ตะโกนคำๆ นึงออกไมโดยความคึกคะนอง

ตลอดทางบอยได้พูดจาหยาบคายต่างๆ นานาทั้งยังใช้มีดกวัดแกว่งต้นไม้และแทงเข้าไปที่ต้นไม่ต้นใหญ่ต้นนึง ซึ่งก็มีเรื่องแปลกเกินขึ้นยางของต้นไม้ต้นนั้นไม่ได้เป็นสีขาวเหมือนต้นไม้ทั่วๆ ไป แต่กลับมีสีคล้ายเลือด บอยก็ยังไม่สนใจกลับมองเป็นเรื่องตลก ตอนนี้พวกเค้าก็ประสบปัญหาแล้วคือหาทางออกไปเต้นท์ที่พักไม่เจอ เหน่ง เลยขอขมาในใจแทนบอยแล้วสักพักเหน่งก็เจอไม้เป็นท่อนยาวๆ คล้ายไม้เท้าเหน่งก็เก็บติดตัวมาซึ่งพอเดินมาเรื่อยๆ ก็เจอกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ช่วงแรกพวกเค้ายังไม่ได้เข็ดหรือว่าลดละความคะนองเลยจนตกเย็นพวกเค้าไปดูพระอาทิตย์ตรงหน้าผาก็เป็นบอยที่ตะโกนคำๆ นึงออกไมโดยความคึกคะนอง ((ขึ้นต้นด้วย ค. ควาย)) แล้วบอยก็รู้สึกว่ามีคนจ้องหน้า...


อาภรรพ์ภูกระดึง

เจอบอยนอนอยู่ในสภาพครึ่งตัวท่อนขาอยู่ในป่า ครึ่งตัวบนอยู่บนทางเหมือนโดนดึง

จากนั้นนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็
ทะยอยกันกลับที่พัก โดยทั้ง 10 คนหวังจะไปอาศัยไฟของกลุ่มหน้าและในขณะนั้นกลุ่มหลังก็กำลังตามมา เดินได้สักพักทั้ง 10 คนเดินตามกลุ่มข้างหน้าไม่ทัน และกลุ่มข้างหลังก็หายไปไหนไม่รู้จนพวกเค้าก็ต้องเข้าไปซื้อเทียนจากร้านข้างทางมา 2 เล่มด้วยเพราะคิดว่าใกล้จะถึงที่พักแล้ว...ทั้ง 10 คนเดินไปเรื่อยๆ จนทางที่กว้างขนาดเดิน 4 คนได้แคบลงจนต้องเดินเรียงเดี่ยว เทียนที่มีอยู่ 2 เล่มก็ให้หัวท้ายถือคนล่ะเล่มจนเดินไปสักพัก ทั้ง 10 คนก็นับจำนวนคน และจี้ดก็เห็นเงามืดคล้ายผู้ชายตัวใหญ่มากนั่งท้าวคางอยู่ข้างทางจี้ดก็นึกว่าเป็นพุ่มไม้เลยเดินเข้าไปปัด พอเดินมาอีกหน่อยก็เห็นอีกและครั้งนี้ก็มีโป้งเห็นอีกคนนึงในขณะนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงคนเดินเหยียบหญ้าไปตลอดข้างทาง โป้งเกิดอาการสะดุ้งบอยก็บอกว่าเป็นอะไรพอโป้งบอกว่าเห็นคนบอยก็บอกว่าไร้สาระ ทันใดนั้นบอยก็รู้สึกว่ามีคนมาหายใจตรงต้นคอและก็หายใจติดขัด ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินไปจนถึงทางสามแพร่งจี้ดกำลังจะเดินต่อแล้ว แต่เจนก็บอกว่าให้นับคนก่อนพอนับจนถึง 9 รอคนที่10 ซึ่งเป็นบอย บอยไม่ได้ตอบมาอ้นจึงได้วิ่งกลับไปทางเดิมแล้วก็เจอบอยนอนอยู่ในสภาพครึ่งตัวท่อนขาอยู่ในป่า ครึ่งตัวบนอยู่บนทางเหมือนโดนดึง ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งไปดูบอย เหน่งได้สะดุดหินก้อนนึงและเหน่งก็ทำแผลซึ่งรอยเลือดของเหน่งจะเป็นที่ระบุตำแหน่งได้ ถึงเวลานี้เจนกับอ้นต้องอุ้มบอยเพื่อจะเดินต่อไปสักพักนึงพอถึงทางสามแพร่งอีกทางนึงหน่อยก็เห็นงูจึงบอกให้ทุกคนหยุดเดิน



อาภรรพ์ภูกระดึง

จี้ดก็ร้องเรียกให้คนมาช่วยเมื่อเห็นดวงไฟเข้ามาใกล้ๆ

ทุกคนเห็นงูที่กำเลื้อยเปลี่ยนเป็นกิ่งไม้ต่อหน้าต่อตา และในเวลาเดียวกันน้ำหนักตัวของบอยก็หนักขึ้นเป็นอีกเท่าตัวจนเจนกับอ้นอุ้มไม่ไหวต้องให้สันติมาช่วยอีกคน คน 3 คนยังอุ้มบอยคนเดียวไม่ไหวก็ต้องวางบอยลงทันทีที่วางบอยลงพื้นร่างของบอยก็เหมือนโดนขึงพรืดแขนขากางออก ร่างกายผิวหนังก็แข็งราวกับไม้ แล้วประมาณ 10 นาทีจี้ดก็เห็นเหมือนคนถือไฟฉายเดินมาทางที่พวกเค้าจี้ดก็ร้องเรียกให้คนมาช่วยแต่พอดวงไฟนั้นเข้ามาใกล้ๆ กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่คนเดินถือไฟฉายแต่เป็นคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งฝ่ามาออกมาจากในป่า



พวกที่เหลืออีก 8 คนก็ต้องเดินไปอีกทางนึงเพราะเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกให้ไป

และปรากฎว่าคนขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเจ้าหน้าที่ของภูกระดึงซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้พาบอยและให้เหน่งนั่งประกบไปข้างหลัง ที่แน่ๆ 2 คนนี้ต้องปลอดภัยแน่นอน แล้วพวกที่เหลืออีก 8 คนก็ต้องเดินไปอีกทางนึงเพราะเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกให้ไป...อีก 8 คนเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินตลอดทางว่ามีคนเดินไปข้างๆ ทางด้วยพอหยุดเสียงนั้นก็หยุดด้วย พอเดินไปสักพักเทียนที่มีอยู่ก็หมดแล้ว จนต้องใช้ไฟ LCD ของโทรศัพท์มือถือมากดส่องดูทางแทนเดินไปเรื่อยๆ ทางเริ่มเป็นหลุมเป็นบ่อ ต้องระวังมากขึ้น กลายเป็นคนที่เดินไปแล้วต้องกดไฟมือถือรอให้เพื่อนข้ามมาก่อนเป็นถอดๆ เจนเป็นคนที่เห็นหลุมข้างหน้าแต่กลับตกลงไปในหลุมเอง ในลักษณะเหมือนมีคนกระแทกเข้าที่ข้อพับเข่า ทุกคนเดินต่อไปจนพอถึงหลุมข้างหน้าโป้งร้องทักเจนว่าให้ระวังตกหลุมอีกนะ ทันทีเจนก็ต้องลงไปอีกครั้ง



"กูเจอมันและ แม่งอยู่นี่ไง"

เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอลานพระกว้างๆ และที่ตรงนี้ทุกคนเห็นแสงไฟซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตรทุกคนก็คิดว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่พอเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟที่เห็นว่าใกล้จะถึงแล้วกลับยิ่งไกลออกไป แถมยังเดินวกไปวนมาอยู่ที่เดิม ประมาณ 3-4 รอบจนจี้ดบอกว่าลองให้เค้านำทางดีกว่า จี้ดได้ลองแหวกหญ้าขางทางซึ่งสูงประมาณตัวคน แล้วทันทีก็เจอเป็นทางเดิน เห็นเเสงพระจันทร์ และพอออกมาตรงทางเดินนั้นก็เจอกลุ่มคนข้างหน้า และก็มีเจ้าหน้าที่ 2 คนตัวใหญ่ๆ ส่องไฟฉายมาที่กลุ่มพวกเค้าและก็พูดว่า "กูเจอมันและ แม่งอยู่นี่ไง" แล้วพอพวกเค้าเดินเข้าไปใกล้ๆ เจ้าหน้าที่ 2 คนนั้นก็หายไปเลย ทางด้านบอยและเหน่งก็ปลอดภัย หมอบอกแค่ว่าบอยน่ะเป็นลมธรรมดาๆ เลย อีก 8 คนที่เหลือก็กลับถึงที่พักตอนเวลา 5 ทุ่มจากรวมเวลาที่ไปหลงอยู่ในป่าเป็นเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเต็มๆ

********************************
ตอนที่กลุ่มวัยรุ่นหลงป่า แม่ของเด็กที่เปิดร้านอาหารอยู่ที่บ้าน ก็ได้ยินเสียงลูก แว่วๆ อยู่ตลอด พอเข้านอนก็ฝันว่า เห็นต้นไม้มีกิ่งพริ้วเหมือนแขนคน วิ่งไล่จับเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง

เขาเห็นในฝันก็บอกว่า อย่าไปทำอะไรเขาเลย เขายังเด็กอยู่

ต้นไม้ก็ตอบว่า ...
กรูไม่ทำหรอก แค่สั่งสอนให้เขารู้จักเคารพเฉยๆ เดี๋ยวก็ปล่อยแล้ว



ขอขมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนึง และ แวะไหว้ศาลพ่อปู่

...วันรุ่งขึ้นทั้ง 9 คนก็พากันไปแกะรอยเดิมที่หลงป่าเมื่อคืน
ปรากฏว่าเป็นแค่สนามหญ้าโล่งๆ เฉยๆ ไม่มีป่าทึบเหมือนเมื่อคืน

และไปขอขมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนึง พอปักธูปลงดินบอยก็เดินออกมาจากห้องพยาบาลทันทีเลย ...ก่อนที่จะเดินทางกลับกันไม้เท้าอันที่เหน่งเก็บได้ เหน่งก็ได้เอาไปวางคืนไว้หลังต้นไม่ใหญ่
พอวันที่เดินทางกลับทุกคนได้แวะไหว้ศาลพ่อปู่ พอเห็นไม้เท้าของพ่อปู่เท่านั้นแหละ ทุกคนเกิดอาการอึ้งทันทีเพราะมันอันเดียวกันกับที่เหน่งเก็บได้ ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าพ่อปู่ก็ได้ช่วยเหลือพวกเค้าไว้
ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ขี่มอเตอร์ไซค์นั้นพอสืบถามดูปรากฎว่าไม่มีใครที่มีลักษณะอย่างนั้นเลย ก็เลยได้ความว่าเป็นทหารของพระพุทธเมตตาของลานพระที่มาช่วยเหลือพวกเค้า....


**********************
ที่มาของเรื่อง
จากรายการ ตีสิบเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์