หลอน.. คำสุดท้ายจากพ่อ

เช้าวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ผมได้รับโทรศัพท์จากอาตาล ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ให้รีบกลับไปที่บ้านเพื่อดูใจ พ่อที่กำลังจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 75 ปี

หลอน.. คำสุดท้ายจากพ่อ

พ่อมีลูกทั้งหมด 4 คน ผมเป็นคนสุดท้อง และเป็นคนเดียวที่หลายปีให้หลังมานี้ไม่ได้เจอหน้าพ่อเลย ตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อ และพาผมเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้วตั้งแต่ตอนนั้น ทางฝ่ายพ่อเองก็ไม่เคยพยายามติดต่อมาอีกเลยเหมือนกัน ทั้งที่ก็รู้ที่อยู่เบอร์โทร.อะไรกันครบหมดทุกอย่าง ดังนั้นผมเลยค่อนข้างแปลกใจ ที่พ่อเจาะจงให้อาตาลโทร.ตามผมกลับไปดูใจ ราวกับเป็นลูกรัก


พ่อผมมีเมียสามคน คนแรกตายไปนานแล้ว คนที่สองมีลูกให้แกสามคน คือบรรดาพี่สาว ที่ทุกวันนี้ก็ผลัดกันมาคอยดูแลพ่อในช่วงป่วยนี่แหละ เมียพ่อคนที่สองเกิดตายหนีไปอีก แล้วก็มามีแม่ผม

แรกๆ พ่อก็ดูดีใจ เอาอกเอาใจเลี้ยงดูดี พี่ๆ ก็รัก เพราะอายุห่างกันมาก ตอนผมเกิดนั้น พี่สาวคนที่สามก็อายุ 20 เป็นสาวเต็มตัวแล้ว พี่สาวคนนี้ยังช่วยแม่เลี้ยงดูแลผมเหมือนกับเป็นแม่อีกคน ตอนนั้นแม่ผมอายุ 22 จะว่าไปก็รุ่นราวคราวเดียวกันนี่เลยแหละ ภาพจำของผมเกี่ยวกับพ่อคือภาพของผู้ชายแก่ๆ ตัวอ้วนขาว ดูดบุหรี่จัดเหม็นคลุ้งไปหมด ผมหงอกแซมทั้งหัว ชอบเดินท่อมๆ ไปทั่ว หน้าเครียดๆ ยุ่งๆ อยู่ตลอดเวลา



ผมกับแม่อยู่ในบ้านเดียวกับพ่อ ในขณะที่พี่สาวทั้งสามค่อยๆ ทยอยแต่งงานแยกบ้านกันไป ทีละคน จนในที่สุดเหลือแค่พ่อ แม่ แล้วก็ผม ถ้าเป็นบ้านอื่นลูกชายคนสุดท้องที่เหลืออยู่ในบ้านน่าจะกลายเป็นที่รักของพ่อกับแม่ อยู่ในบ้านแสนสุข แต่เปล่าเลย เพราะพอพี่ๆ แยกออกไป ภาระงานบ้านทั้งหมดก็ตกเป็นของผมกับแม่

ลำพังแค่ผมกับแม่ดูแลบ้านหลังโตพร้อมข้าวปลาอาหารสามมื้อยังไม่เท่าไหร่ ดันมาประจวบกับการที่บริษัทของพ่อถูกเพื่อนโกง ถูกฟ้องล้มละลาย พ่อหมดสิ้นทุกอย่าง ดีว่าบ้านที่อยู่เป็นชื่อของอาตาล เลยไม่โดนยึดไปด้วย กระนั้นพ่อนั่งซึมเศร้าจับเจ่าอยู่บนเก้าอี้นอนที่บ้านทุกวันๆ และพร้อมจะอาละวาดขว้างทุบพังทำลายของทุกครั้งที่มีอะไรไม่ถูกใจแม้เพียงเล็กน้อย



พ่อเริ่มลงไม้ลงมือกับแม่ แม่อดทนปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งผมจบ ม.3 คืนหนึ่งพ่อตบผมอย่างแรงและจะกระทืบซ้ำ แม่คว้าตัวผมไว้ ผลักพ่อออกไป หนีเข้าห้อง ล็อกประตู ไม่สนใจเสียงทุบประตูขู่จะเผาบ้าน เราช่วยกันเก็บเสื้อผ้าและนอนกอดกันร้องไห้ทั้งคืน ความรู้สึกตอนนั้นคือผมไม่เคยเกลียดอะไรในชีวิตมากเท่าพ่อมาก่อน

วันรุ่งขึ้นผมกับแม่หอบกระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกจากบ้านพ่อมา และไม่คิดจะหวนกลับไปอีก จนวันนี้ ที่ผมอายุ 22 กำลังเริ่มทำงานแรกในชีวิต จู่ๆพ่อก็ให้อาตาลโทร.มาเรียกผมกลับบ้านเพื่อดูใจเนี่ยนะ

ก่อนกลับบ้านแม่กล่อมผมให้พูดดีๆ ทำดีๆ กับพ่อ คิดเสียว่ามาลาเป็นครั้งสุดท้าย แม่ไม่แฟร์นี่หว่า เพราะแม่ไม่ยอมมาด้วย แต่ยังไงผมก็รับปากแม่มาแล้ว จะพยายามก็แล้วกัน



ผมกลับมาถึงบ้าน ยังประหลาดใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างล่างเลย แต่เปิดไฟสว่าง ประตูไม่ได้ล็อก เลยเดินเข้าไปในบ้าน ทีแรกก็น้ำตารื้น เพราะนึกถึงภาพเก่าๆ ที่เคยเกิดกับผมที่นี่ตั้งแต่เกิดจนโต แต่พอได้กลิ่นบุหรี่โชยฟุ้ง ก็สะดุดทันที ไหนวะ บอกว่าพ่อป่วยหนัก บอกให้มาดูใจ คนป่วยมะเร็งปอดดูดบุหรี่ฉุนกึกขนาดนี้ก็ได้เหรอ

ผมคิดยังไม่ทันไร ตาก็มองไปเห็นพ่อ นั่งเอนหลังอยู่ที่เก้าอี้นอนตัวโปรดของแก ราวกับภาพเดิมที่ผมเห็นพ่อวันสุดท้าย พ่อดูไม่ค่อยเปลี่ยน นอกจากผอมซูบซีด และไม่มีผม พ่อสวมชุดคลุมตัวหนาเหมือนผ้าห่ม ในมือแกคีบบุหรี่ดูดผุยๆ ตามองมาที่ผม



ตอนนั้นผมหงุดหงิดขึ้นมาทันที "ไหนว่าจะตาย ให้มาดูใจ ทำไม..." แต่พอนึกถึงที่แม่ขอไว้ก็เลยยั้งปากไว้แค่นั้น เสียงอ่อนลงทันที "อืม พ่อเป็นไงบ้าง มาเยี่ยม"

พ่อพยักหน้า ไม่พูดอะไร แต่ชี้มือไปที่โต๊ะใกล้ๆ มีกรมธรรม์ประกันชีวิตเล่มหนึ่งวางอยู่ ผมเดินไปหยิบดู เปิดอ่านหน้าแรก เห็นชื่อแม่กับผมเป็นผู้รับประโยชน์หากพ่อตายทุกกรณี วงเงินสองแสนบาท ผมใจอ่อนยวบ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยคิดว่าพ่อยังนึกถึงเรา



ผมหันไปมองหน้าเซียวๆ ของพ่ออีกที คราวนี้เหมือนมีรอยยิ้ม และเห็นพ่อขมุบขมิบปากเหมือนจะพูดว่า "ขอโทษ"

ประตูหน้าบ้านดังขึ้น ผมเดินไปดู อาตาลและพี่สาวคนที่สามเดินเข้ามาเห็นผมก็วิ่งมากอด "มานานหรือยัง พี่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล เดี๋ยวรอพี่ไปหยิบเสื้อผ้าพ่อก่อนนะ เดี๋ยวเราไปส่งพ่อด้วยกัน"

ผมสับสนทันที "พ่อน่ะนะ ก็..." แต่เมื่อมองกลับไปที่เก้าอี้นั่ง พ่อไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

"พ่อเสียเมื่อกี้เอง ที่โรงพยาบาล อาตาลไม่ได้บอกเหรอว่าพ่อนอนโรงพยาบาลมาหลายเดือนแล้ว"



ผมไปเจอพ่ออีกครั้งที่โรงพยาบาล พ่อสภาพเหมือนที่ผมเจอในบ้านไม่ผิดเพี้ยน ผมอยู่ช่วยเป็นธุระเรื่องหาวัด จัดการซื้อโลง ทำทุกอย่าง อยู่รอรับแม่มาเผาพ่อในวันเผา ก่อนเราจะกลับกทม.ด้วยกัน อาตาลจัดการเรื่องเคลมประกันเอาเงินสองแสนให้ แม่กับผมตัดสินใจเอาเงินทั้งหมดนั้นทำบุญ บริจาคมูลนิธิต่างๆ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ ผมไม่ลืมใบหน้าของพ่อตอนที่ขยับปากพูดคำนั้น "ขอโทษ" ผมอโหสิกรรมให้พ่อในใจ และเช่นกัน ผมกล่าวขออโหสิกรรมจากพ่อด้วย


ที่มา khaosod


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์