แดงดอกปีบ


แดงดอกปีบ

"ติชิลา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากต้นปีบ

คุณยายลำยองเป็นคนเก่าแก่ของย่านทุ่งครุ เมื่อราว 5 ปีก่อนครอบครัวดิฉันย้ายไปอยู่ที่นั่น ตรงข้ามกับบ้านคุณยายพอดี

เวลาผ่านไปไม่นาน เราก็รู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น ดิฉันชอบเข้าไปหาคุณยายที่บ้าน พูดคุยกันใต้ร่มปีบสูงใหญ่ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ ตัวตึก นอกจากนั้นยังมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้มชวนให้เย็นตาเย็นใจ ไม่ว่ามะขาม มะม่วง ฝรั่ง รวมทั้งมะยมที่ตกลูกเหลืองอร่ามไปทั้งต้น แถมยังหล่นลงบนพื้นหญ้าเกลื่อนกลาดอีกด้วย

คุณยายอยู่กับลูกชายลูกสะใภ้ มีหลานสาวเล็กๆ อายุราว 6-7 ขวบที่ลงจากรถรับส่งของโรงเรียนเมื่อไหร่เป็นปราดเข้ามายกมือไหว้ กอดจูบคุณยายอย่างรักใคร่ ก่อนจะเอ่ยปากขอขนม...

ดอกปีบสีขาวหล่นกระจายตามโคนต้น รวมทั้งโต๊ะยาวที่เรานั่งคุยกันอยู่ ดิฉันเคยหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจเมื่อได้เห็นเป็นครั้งแรก

"หอมชื่นใจนะหนู ลองดมดูซีจ๊ะ"

เสียงนุ่มนวลเนิบช้าของคุณยายลำยองทำให้ดิฉันยกขึ้นมารอที่จมูก สูดกลิ่นหอมเย็น แล้วยอมรับว่าชื่นใจจริงๆ ใบหน้าเรียวยาวดูขาวซูบตามวัยของคุณยายปรากฏรอยยิ้ม แววตาคล้ายจะเหม่อลอยไปชั่วขณะ

"แต่ก่อนมีปีบแดงปลูกอยู่คู่กัน แต่มันตายไปแล้ว..." เสียงถอนใจเหมือนรู้สึกเสียดมเสียดายดังขึ้น "เขาว่ามันปลูกยาก ออกดอกก็ยาก บางคนปลูกมาเกือบสิบปีจนสูงท่วมหลังคายังไม่เคยออกดอกให้เจ้าของชื่นใจซักที"

"แล้วต้นนี้ล่ะคะ?"

"อ๋อ! ปีบขาวนี่ให้ดอกมาหลายปีแล้วจ้ะ มีไหลที่โคนต้นด้วยเห็นไหม?"

คุณยายเบือนหน้าไปมอง ดิฉันเห็นคล้ายรากขาวๆ ที่สูงกว่าพื้นดินราวคืบเศษ...นี่เองคือ "ไหล" ที่เขาหมายถึงรากที่งอกมาจากโคนต้น แปลกอย่างที่มันลงดินแล้วหายไปเลย นานๆ ถึงจะโผล่เป็นต้นเล็กๆ ขึ้นมาให้เห็น แต่ก็ตัดทิ้งดีกว่า ไม่มีที่ให้มันเติบโตเป็นต้นใหญ่ๆ อีกแล้ว"

คุณยายลำยองเล่าว่า สมัยโบราณเขาเอาไปมวนสูบกันหอมๆ บ้าง สำหรับรักษาคนที่เป็นริดสีดวงจมูกบ้าง ปรากฏว่าได้ผลดีแทบทุกราย

"โรคนี้คงจะหมายถึงไซนัสละมั้ง...บางคนก็บอกว่าปีบแดงจะได้ผลดีกว่า ยายเคยไปไหว้พระที่อยุธยา ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นวัดไชยมงคล หรือวัดพระนเรศวรนั่นแหละ มีทั้งปีบแดงปีบขาว ยังเก็บปีบแดงที่หล่นห่อผ้ากลับมาบ้านหลายดอก..."

ถึงแม้บ้านของคุณยายจำลองจะมีต้นไม้มากมาย แม้แต่บานเช้า, นมแมว, มะลิและกุหลาบหนู แต่ทำไมดิฉันถึงใจจดใจจ่ออยู่ที่ปีบขาวปีบแดงก็ไม่ทราบ

จนกระทั่งถึงคืนนั้น...คืนขนหัวลุก!

ราวสี่ทุ่มเศษ ดิฉันกลับจากงานแต่งงานของเพื่อนสามี ขณะที่ผ่านบ้านคุณยายลำยองก็เห็นดับไฟมืด คงจะเข้านอนกันหมดแล้ว นอกจากแสงไฟที่ประตูรั้วเปิดทิ้งไว้กับจันทร์เต็มดวงที่สาดแสงขาวนวลแข่งกันไฟถนน...สามีกำลังเปิดประตูรถลงไปไขกุญแจรั้ว ดิฉันก็หันไปเห็นภาพนั้นเข้าพอดี

หญิงสาวร่างบอบบางผู้หนึ่งในชุดสีทึบ กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างๆ โต๊ะโคนต้นปีบ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเป็นใครกัน เพราะไม่ใช่พี่ก้อย-ลูกสะใภ้คุณยายลำยองอย่างแน่นอน

สามีเปิดรั้วเสร็จก็กลับมาขึ้นรถ ดิฉันบอกให้เขาดูผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น สามีหันไปมองแล้วบอกว่าอาจจะเป็นลูกหลานคุณยายก็ได้...ดิฉันรู้สึกเยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นเธอเงยหน้าขึ้นมองไปบนต้นไม้ แล้วเดินช้าๆ เข้าไปหา

หลุดปากเรียกสามีอีกครั้งโดยไม่หันไปมองให้คลาดสายตาจากภาพนั้น...

หญิงสาวเดินช้าๆ เหมือนจะลอยไปเหนือพื้นหญ้า...หายลับเข้าไปในโคนต้นปีบเหมือนภาพสยองในคืนฝันร้ายสุดขีด เสียงสามีร้องเฮ้ย! กระชากรถเลี้ยวเข้าประตูบ้าน เราเผ่นลงมาพร้อมกัน เขารีบปิดประตูรั้วมือไม้สั่น ดิฉันเองก็ใจหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมในพริบตานั้นเอง

วันรุ่งขึ้น ดิฉันแวะเข้าไปหาคุณยายลำยองตอนเย็น เล่าเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ฟัง ยืนยันว่าไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เพราะสามีก็เห็นภาพนั้นเช่นกัน

"ลูกสาวของยายเอง เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว เขาผิดหวังเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จนซึมเศร้าไม่พูดไม่จากับใคร คืนหนึ่งก็ลงไปแขวนคอที่ปีบแดงกำลังออกดอกสะพรั่ง...ยายทำศพแล้วก็ตัดปีบต้นนั้นทิ้ง ไม่อยากเห็นให้บาดตาบาดใจ...เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาไม่มีที่อยู่ก็เลยมาสิงที่ปีบขาวแทน...วันพระใหญ่ทีไรมักจะมีคนเห็นเขามาวนเวียนอยู่ที่นั่นเป็นประจำ"

คุณยายลำยองเล่าเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลรินลงมาตามร่องแก้มเหี่ยวย่นเป็นทางยาว...ดิฉันเองก็ไม่ค่อยได้ไปพูดคุยหรือชมต้นไม้สวยๆ ที่บ้านคุณยาย...ขนหัวลุกค่ะ!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์