ตำหนักอาถรรพณ์


ตำหนักอาถรรพณ์

"ป้าสมร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอสมุดการเมืองที่ถนนพิชัย

ป้าเคยสัญญาว่าจะเล่าเรื่องแปลกประหลาด แสนสยองขวัญของตำหนักโบราณที่ถนนพิชัย แหม! สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาซีคะ คนเราขืนไม่รู้จักรักษาคำพูดทั้งๆ ที่ผมสองสีเข้าไปแล้วน่ะ รังแต่จะโดนนินทา-หมาดูถูก จริงไหมคะ?

บอกตรงๆ ว่าครั้งที่แล้วเล่าไปขนลุกไป ถึงแม้เรื่องราวแสนน่ากลัวจากตำหนักอาถรรพณ์จะผ่านไปสิบปีเศษแล้ว แต่นึกขึ้นมาทีไรเป็นเสียวสันหลังวาบๆ ทุกที...อุปาทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่รู้สึกเหมือนมีใครมาจ้องมองอยู่ข้างหลังป้าตลอดเวลาเลยละค่ะ! บรื๋อออ...

เข้าเรื่องเลยนะคะ!

ตอนที่คนงานกำลังบูรณะซ่อมแซมตำหนักพระองค์เจ้าหญิงอัพภัณตรีปชา เพื่อทำเป็นหอสมุดสำหรับประชาชนทั่วไปได้เข้าไปศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นอาถรรพณ์ของตำหนักแห่งนี้ทำให้การบูรณะมีอุปสรรคขัดขวางจนสะดุดขลุกขลัก ล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิมหลายเดือน

แหม! ขนาดคนงานโดนผีหลอกจนเผ่นกระเจิง เก็บข้าวของเปิดแน่บไปเป็นโขยงน่ะ จะไม่ทำให้การงานล่าช้าได้ยังไงล่ะคะ? ไหนจะต้องเสียเวลาหาคนงานใหม่ๆ มาเพิ่มไหนคนงานเก่าๆ ก็มีอาการเสียวสันหลัง...กล้าๆ กลัวๆ แต่ส่วนมากมักจะกลัวมากกว่ากล้าค่ะ

ขอถามหน่อยเถอะว่าใครมั่งจะไม่กลัวผีน่ะ?

ตำหนักสองชั้นที่มีต้นปาล์มสองต้นโดดเด่นอยู่ด้านหน้า ยามค่ำคืนมีเสียงลมพัดกิ่งใบไหวซู่ซ่าน่าวังเวงใจ เดี๋ยวมีเสียงผู้หญิงร้องไห้กลางดึกมั่ง เล่นน้ำพลางหยอกล้อกันเกรียวกราวมั่ง แต่เมื่อชวนกันออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย แถมบางคืนก็ไฟสว่างโร่ขึ้นที่ชั้นบน ทั้งๆ ที่ตัดไฟไปนมนานแล้ว

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ป้าก็เล่าว่า เคยได้ยินเสียงดนตรีไทยดังมาจากวังบ่อยๆ แต่เห็นว่าดึกดื่นค่อนคืนแล้วเลยไม่กล้าออกมาดู....ป้านึกได้ก็ใจหายวับทีเดียว

โธ่เอ๋ย...ป้าเองก็เคยได้ยินเหมือนกัน ยังนึกว่าบ้านใกล้ๆ เขาเปิดเพลงไทยเดิมจากวิทยุ เสียงไพเราะเสนาะหูเหลือหลาย ไม่ว่าเพลงตับเพลงเถา ฟังแล้วรื่นหูสบายใจ...ใครจะไปรู้ว่าดังมาจากตำหนัก นักดนตรีก็ล้วนแต่เป็นผู้ไม่มีร่างกายทั้งนั้นล่ะเจ้าคะ! บรื๋อออ...

เด็กผู้หญิงข้างบ้านวิ่งเล่นอยู่ดีๆ ก็มองเห็นเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนสีแดงนั่งยิงฟันขาวอยู่ที่ตำหนัก ทั้งๆ ที่ของจริงไม่เคยมีเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนแดงอยู่ที่นั่นหรอก...ถ้าจะอยู่ก็คงอยู่มาหลายสิบปีแล้วละค่ะ! กึ๋ยยยย...

เคยมีคนงานขี้เมาไปนอนหลับในพระตำหนักชั้นล่าง ใกล้ๆ กับพระฉายาลักษณ์ของพระองค์หญิงฯ รุ่นขึ้นก็กลายเป็นศพโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ

คนงานที่จิตใจเข้มแข็ง เห็นอะไรหรือได้ยินอะไรแปลกๆ ก็ไม่กลัว...แต่คืนหนึ่งมองเห็นสาวสวยแต่งชุดไทยห่มสไบแดงเดินกรุยกรายอาบแสงจันทร์อยู่หน้าตำหนัก พอรู้ว่ามีคนมองอยู่ก็หันมายิ้มหวาน...เท่านั้นแหละ พ่อคนใจกล้าเรอเอิ๊กเดียวแล้วล้มแผละลงนั่งพนมมือแต้ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ...รุ่งขึ้นก็เก็บเสื้อผ้าเผ่นไปทันใด

ข้าวของอื่นๆ ไม่สน! ขนาดเงินค่าแรงที่ยังค้างอยู่ยังไม่เอาเลยค่ะ...คงถือคติว่าถ้ายังไม่ตายก็หาเงินได้ แต่ถ้าตายแล้วเพราะขนหัวลุกก็จบเห่กันเท่านั้นเอง!

โธ่! อย่าว่าคนงานกับชาวบ้านแถวนั้นจะเจอะเจอเลยค่ะ ขนาดท่านบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยยังเคยโดนเข้าจังๆ นี่นา

คุณวีรศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้อำนวยการหอสมุดพรรคชาติไทยเคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า...ขณะที่ท่านหัวหน้าอยู่ในพระตำหนัก พูดเปรยๆ ว่าน่าจะปรับบริเวณหน้ามุข! แค่นั้นแหละ ไฟในตัวพระตำหนักเกิดสว่างจ้าขึ้นมาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่างหาก

"ท่านเติ้งเสี่ยวหาร" ถึงกับนึกรู้ได้ทันทีว่าเกิดอาถรรพณ์เพราะอะไร?

วิธีแก้ไขของมังกรเมืองสุพรรณบุรีก็คือจัดพิธีบวงสรวงครบเครื่อง ทั้งบายศรี หัวหมู สุราอาหารและผลไม้ รวมทั้งเครื่องเซ่นต่างๆ และธูปเทียนครบครัน...หลังจากนั้นก็อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ของเสด็จพระองค์หญิงขึ้นไปชั้นบน

แปลกไหมล่ะคะ? เมื่อเจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนกรอบพระฉายาลักษณ์ใหม่ แต่ไม่อาจดึงพระฉายาลักษณ์ออกจากกรอบเดิมได้ จึงต้องคงสภาพเดิมไว้เช่นนั้น

เมื่อทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครบถ้วนแล้ว การบูรณะตำหนักทั้งสองก็เสร็จสิ้นลงโดยไม่มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกใดๆ เกิดขึ้นอีกเลยค่ะ!




ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์