หาดสยองขวัญ


หาดสยองขวัญ

"อนันต์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหาดหัวหิน.......

ผมกับเพื่อนๆ ร่วมงานที่สนิทกันสมัยหนุ่มๆ ชอบไปเที่ยว หัวหินแทบทุกครั้งที่มีโอกาสวันหยุดยาว ตอนนั้นพวกเราล้วนแต่ยังไม่มีภาระพันธะรุงรัง หรือถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือยังไม่มีห่วงผูกคอนั่นแหละครับ

สมัยนั้นชาวกรุงเทพฯ ชอบไปเที่ยวบางแสนมากกว่า เพราะอยู่ใกล้ขนาดไปเช้าเย็นกลับก็ยังได้ แถมมีทิวมะพร้าวเรียงรายตามชายหาด ให้บรรยากาศสวยงามไม่ใช่เล่นๆ

หัวหินค่อนข้างไกลหน่อย อย่างน้อยก็ต้องค้างคืนกัน แต่มนต์เสน่ห์ของหัวหินดูเข้มขลังเพราะเป็นสถานตากอากาศเก่าแก่กว่า สมัยก่อนๆ มีแต่ผู้ลากมากดีหรือเศรษฐีใหญ่ที่จะพาครอบครัวไปตากอากาศหน้าร้อน

ระดับกลางๆ ส่วนมากก็ไปนอนโรงแรมรถไฟ โอ่โถง สะอาดสะอ้าน อาหารดี บริการเนี้ยบ...โดยเฉพาะเปิดหน้าต่างออกไปชมวิวสวยๆ ได้สบายมาก

บางคนก็ชอบไปเล่นน้ำทะเลตอนเย็นๆ ไปเดินเล่นที่ชายหาดยามราตรีมีโขดหินรูปทรงคลาสสิคเรียงรายไปเกือบถึงหัวแหลมที่เขาตะเกียบโน่น...แถมยังเป็นทำเลที่ค่อนข้างลับหูลับตาคน ชักชวนให้หนุ่มสาวไปพร่ำพลอดออดอ้อนกันแถวก้อนหินใหญ่ๆ คืนละหลายคู่

โขดหินที่หัวหินนี่มีตำนานน่าเล่าสู่กันฟังพอหอมปากหอมคอนะครับ

เขาว่าสมัยก่อนมีพวกเขมรแล่นเรือมาพบเข้าก็ชอบใจ อาศัยปักหลักเป็นถิ่นฐานใหม่...เพราะมีโขดหินมากมายจึงตั้งชื่อเป็นภาษาเขมรว่า "ถมอราย" ที่แปลว่ามีก้อนหินเรียงราย ต่อมามีชาวเพชรบุรีกับชาวประจวบฯ มาตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ล้วนแต่ทำอาชีพประมงกันทั้งนั้น...

เรือแพนาวาเริ่มคับคั่ง มาทอดสมอเรียงรายกันเป็นตับก็เลยเรียกว่าตำบล "สมอเรียง" จนกระทั่งชาวกรุงเริ่มมาเที่ยวหนาตา จึงได้เรียกว่า "หัวหิน" มาจนถึงทุกวันนี้

มัวแต่รื้อฟื้นความหลัง เดี๋ยวก็ลืมเล่าเรื่องขนหัวลุกไปจนได้!

ผมกับเพื่อนๆ ที่ว่าชอบไปเช่าบังกะโลของโรงแรมรถไฟอยู่กัน เพราะระยะใกล้ๆ กันแค่นั้นเอง เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว แถมเรายังตั้งวงเหล้าตีรัมมี่กันได้สนุกสนานเพลิดเพลินอีกต่างหาก...หลังจากการเดินดูสาวๆ ในชุดอาบน้ำเดินโชว์โฉมอยู่ตามชายหาด อกอวบๆ สะโพกอั๋นๆ กับขาอ่อนขาวเหมือนหยวกนี่เป็นอาหารตาอาหารใจของพวกผู้ชายทุกคนแหละครับ...แฮ่ม!

บางคืนเมากำลังดีก็ออกไปเดินเล่นที่ชายหาดอีกรอบ โดนลมทะเลโกรกตึงไม่ช้าไม่นานก็สร่างเมา กลับมาบรรเลงสุราต่อได้...แต่บางคนก็บอกว่าอยากจะไปดูหนุ่มสาวเขาจุ๋งจิ๋งกอดจูบกันดีกว่าอยู่ว่างๆ แถมบางคู่ยังอาศัยโขดหินริมหาดเป็นวิมานชั่วคราวซะเลย

คืนนั้นก็เช่นกัน!

พวกเราสามคนเดินเลี้ยวขวาเลียบชายหาด ไปทางด้านหน้าโรงแรม...น้ำลงจนมองเห็นโขดหินใหญ่โดดเด่นอยู่ใต้แสงดาว ดูเผินๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่คลานขึ้นจากทะเลมาหมอบนิ่งบนชายหาด เสียงคลื่นเสียงลมกล่อมเห่ราตรีจนน่าปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปในบรรยากาศเงียบสงบ เปี่ยมล้นด้วยมนต์ขลังของชายหาดยามราตรี...

ทันใดนั้น ผมก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเร็วๆ ตรงมาทางเรา ท่าทางรีบร้อนเหมือนจะหนีอะไรมา...ก่อนจะสวนกัน คนทั้งสองก็เลี้ยวซ้ายขึ้นไปทางโรงแรม...เขาอาจจะมีปากมีเสียงหรือขัดอกขัดใจอะไรกันมาก็เป็นได้

เดินต่อไปอีกครู่เดียวก็เห็นหนุ่มสาวอีกคู่หนึ่งเดินเหมือนจะวิ่ง ท่าทางกระหืดกระหอบมาทางเราอีกแล้ว...คราวนี้สวนกันจนมองเห็นหน้าตาที่พอจะเดาไว้ว่าคงจะเป็นชาวกรุงที่มาตากอากาศหัวหินเหมือนเรา

ว่าแต่พวกเขารีบร้อนเหมือนหนีอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวมาคล้ายๆ กัน?

เสียงคลื่นยังสาดซ่าชายหาดและโขดหินตามเดิม...ขณะที่ภาพนั้นก็ปรากฏเด่นชัดอยู่ในแสงดาวเบื้องหน้าพวกเรา!

ชายกลุ่มหนึ่งนุ่งกางเกงสีดำแบบชาวเล เปลือยอกกำยำทุกคน กำลังนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ข้างโขดหินขนาดใหญ่ดูดำทะมึน เป็นเงาวับอยู่ในแสงกะพริบพรายของดวงดาว...เสียงหัวเราะเฮฮาดังเคล้ากับเสียงคลื่นเสียงลมราวกับจะก้องสะท้อนไปมาไม่จบสิ้น

หนุ่มสาวสองคู่นั่นคงกลัวพวกขี้เมากลุ่มนั้นนั่นเอง!

จนกระทั่งพวกเขาหันขวับมามองเราพร้อมกัน...ผมชะงักกึกเหมือนเพื่อนทั้งคู่เมื่อมองเห็นภาพนั้นได้ชัดเจนในแสงดาว

ชายทุกคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่นั้นล้วนแต่มีใบหน้าดำทะมึนน่ากลัว แต่นั่นยังไม่ร้ายกาจเท่ากับดวงตาแดงจ้าเหมือนถ่านไฟแดงๆ ที่กำลังลุกโชน...ใครคนหนึ่งร้องเฮ้ย! ก่อนจะหมุนตัวกลับ พากันวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานกว่าจะถึงบังกะโลก็เหน็ดเหนื่อยแทบสิ้นใจไปตามกัน!



ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์