เพื่อนเก่า


เพื่อนเก่า

"วิชาญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนเปลี่ยว

เขาว่าคนที่ร่างกายอ่อนแอ อาจจะเป็นเพราะสุขภาพไม่ดีเป็นประจำ หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย มักจะทำให้จิตใจอ่อนแอไปด้วย ขาดพลัง! ว่างั้นเถอะ เปิดช่องให้มองเห็นหรือสัมผัสสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติได้ง่ายๆ

ถ้าจะพูดให้ตรงเป้าเผงก็คือโดนผีหลอกนั่นแหละครับ!

อาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่ากันก็เป็นได้ ทำให้ผมเจอะเจอกับสิ่งที่น่าสยดสยองพองขนโดยไม่รู้ตัว...คิดอีกที อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ที่ความอ่อนแอของร่างกายและจิตใจ ทำให้ไม่ได้คิดอะไรมาก...ไม่งั้นอาจจะหัวใจล่มสลายไปตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็เป็นได้

เมื่อตอนต้นปีนี่เอง ผมเป็นไข้หวัดค่อนข้างแรง ต้องลางานไปหาหมอ นอนซมอยู่กับบ้าน 3-4 วัน พอค่อยทุเลาไข้ผมก็โหนรถเมล์ไปทำงานตามปกติ แหม...ก็เหมือนคนกรุงเทพฯ ส่วนมากที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ต้องอาศัยรถเมล์บ้าง รถไฟฟ้าบ้าง

เพื่อนฝูงกับเจ้านายที่บริษัททักทายว่ายังหน้าตาเซียวๆ อยู่เลย น่าจะหยุดพักผ่อนอีกซัก 2-3 วัน ผมยอมรับว่าห่วงงานแม้จะรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย กับสมองค่อนข้างมึนงงตามแบบของคนเพิ่งฟื้นไข้ทั่วๆไป

วันแรกๆ น่ะถึงกับลืมมือถือบ้าง ปากกาบ้าง...ขนาดกุญแจไขเข้าประตูรั้วบ้านแถวสุทธิสารยังลืมเลยครับ ต้องโทร. เข้าไปหาแม่ให้ช่วยไขกุญแจให้ ช่วงนั้นงานชุกจนต้องกลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ เป็นประจำ

จนกระทั่งวันเกิดเหตุ!

ผมโหนรถเมล์มาลงหน้าซอยแล้วเดินย่ำต๊อกเข้าไป เพราะระยะแค่ 200 เมตรก็ถึงบ้านแล้ว ไม่อยากเสียค่ามอเตอร์ไซค์ 10 บาท โดยไม่จำเป็น

คืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาว ไฟถนนเยือกเย็น รถรากับผู้คนก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเกือบหมดสิ้น...ผมไม่กลัวอะไรหรอกแม้ว่าบรรยากาศค่อนข้างน่าวังเวงใจก็ตาม เพราะบ้านที่ปลูกติดๆ กันน่ะล้วนแต่ปิดประตูรั้วเงียบเชียบ ถ้าไม่เข้านอนก็คงดูทีวีหรือพักผ่อนจากงานหนักคล้ายๆ กัน

กำลังนึกภูมิใจตัวเองว่า วันนี้ไม่ได้หลงลืมอะไรเลย ก็พอดีได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังกุกๆเป็นจังหวะ ตอนแรกนึกว่าเป็นเสียงรองเท้าตัวเอง แต่ก็อดเหลียวไปมองข้างหลังไม่ได้...นั่นปะไร! ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกเดินตามผมมา

เอ๊ะ! ใครนะดูคุ้นๆ แต่ยังนึกไม่ออก พอดีเธอเดินมาถึงช่วงที่แสงไฟฟ้าส่องกระทบใบหน้าพอดี...อ๋อ! น้องแอ๊ด-เพื่อนร่วมซอยที่บ้านอยู่เยื้องๆ กันนั่นเอง!

ผมชะลอฝีเท้า รอจนเธอเดินตามทัน ถามว่าค่ำมืดป่านนี้อุ้มลูกไปไหนมา แอ๊ดยิ้มหวาน หน้าขาวผ่องดูโดดเด่นอยู่ในเรือนผมดำขลับยาวสยาย บอกว่าลูกไม่ค่อยสบายเลยเดินไปร้านขายยา แต่ปรากฏว่าปิดหมดแล้ว

"ชาญสบายดีหรือ? ไม่ได้พบกันตั้งนาน" เธอถามขณะที่เราเดินคลอคู่ไปด้วยกัน ผมก็บอกไปตามตรงว่าเพิ่งหายไข้หวัดได้ไม่กี่วัน แอ๊ดแซวว่าขยันจริงนะ ขนาดเป็นไข้ยังไปทำงาน...เมื่อไหร่จะพบเนื้อคู่ซักทีล่ะ? เล่นเอาผมกระเดือกน้ำลายอึกใหญ่

สาเหตุก็เพราะเราสนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยรุ่น แอ๊ดชอบแวะมาหาที่บ้าน ขอดูต้นไม้บ้าง ขอยืมหนังสือไปอ่านบ้าง เดี๋ยวก็เอามาคืนแล้วขอยืมเล่มใหม่...มีอยู่คืนหนึ่ง เธอมาหาตอนค่ำที่ผมหมกอยู่ในห้องนอนชั้นล่าง แอ๊ดก็ถือวิสาสะเข้ามาหาเพราะเราสนิทกันมาก...แต่ไม่รู้ว่าบรรยากาศรู้เห็นเป็นใจ หรือเลือดเนื้อของหนุ่มสาวเรียกร้อง...เราได้เสียกันคืนนั้นเอง!

แอ๊ดหายหน้าไปหลายวันก่อนจะมาเยี่ยมเยียนตามเดิม น่าแปลกที่เราไม่ได้เอ่ยปากถึงเรื่องราวคืนนั้นอีกเลย แต่คบกันแบบเพื่อนฝูงเหมือนเดิมทุกอย่าง

อีกราวปีเศษๆ เธอก็แต่งงานแล้วไปอยู่บ้านสามีที่งามวงศ์วาน ...นานๆ จะมาเยี่ยมบ้านเก่าสักครั้ง แต่ผมกับเธอก็คลาดแคล้วกันเรื่อยมา...จนกระทั่งคืนนี้!

ถึงบ้านผม แอ๊ดก็ขอตัวเดินผละไป ผมไขกุญแจรั้ว...แว่วเสียงหมาหอนโหยหวนมาจากก้นซอยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งเข้าไปในห้องนอน ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์น่าวาบหวามใจคืนนั้น...คืนที่เรามีความสุขกันอย่างเต็มอกเต็มใจ

ฉับพลันทันใดผมก็นึกออกว่าแอ๊ดไม่ได้กลับมาอยู่บ้านพ่อแม่ที่อยู่เยื้องๆ บ้านผมนี่นา ทำไมเธอมาเดินซอยนี้ตอนค่ำคืนล่ะ?

พริบตานั้นเอง ผมก็เย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าแอ๊ดคลอดลูกตายไปตั้งปีกว่าแล้ว...เพราะผมไม่ได้ไปงานศพเธอ หรือ เพราะความมึนงงที่เพิ่งจะสร่างจากไข้หวัดทำให้ลืมสนิทว่าเธอตายไปแล้ว...พอนึกได้ก็ขนหัวลุก เข่าอ่อนยวบแทบจะล้มแผละเลยครับ! บรื๋อออ...



ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์