อาถรรพ์วิญญาณหลอน


อาถรรพ์วิญญาณหลอน

"เช็คดูว่า ต้องค้างโรงแรมน่ากลัวหรือเปล่า"


เรื่องผีๆ เป็นเรื่องที่หลายคนกลัวจนแทบไม่กล้าที่จะนึกถึง ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่หลายคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อาชีพลูกเรือ เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีโอกาสเดินทางไปค้างอ้างแรมตามโรงแรมทั้งต่างจังหวัดและต่างประเทศ และใครเล่าจะรู้ว่าอดีตของแต่ละโรงแรมตั้งแต่เริ่มตอกเสาเข็มนั้นมีความเป็นมาอย่างไร

ตามความรู้สึกของเรานั้น เรามักจะไม่รู้สึกกลัวโรงแรมที่สร้างใหม่ๆ แต่ถ้าหากเป็นโรงแรมเก่า เราอาจเกิดความรู้สึกหวาดผวาและประหวั่นพรั่นพรึงอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้ลูกเรืออย่างเราด้วย คุณเชื่อหรือไม่ว่า ไม่เพียงแต่เด็กๆ เท่านั้นที่กลัวผี แม้กระทั่งพวกเรา ลูกเรือที่โตแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่กลัวจนถึงขนาดไม่กล้านอนคนเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ชายอกสามศอก

แอร์สาวหลายคนรีบกวาดสายตาอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับตารางบินเพื่อเช็คดูว่าเดือนหน้านั้นจะต้องไปนอนค้างที่โรงแรมที่น่ากลัวหรือเปล่า บางคนหาทางออกโดยแลกไฟลต์ บางคนก็ขอร้องให้เพื่อนแลกไปบินด้วยกันเพื่อความอุ่นใจ แต่เท่าที่คุยมายังไม่มีใครยอมถึงขนาดไม่ไปบิน เพราะนั่นจะทำให้เสียการเสียงานและเสียประวัติการทำงานโดยใช่เหตุ หากจำเป็นต้องไปบินจริงๆ แอร์รุ่นน้องที่พี่ๆ เล่าเรื่องผีเสียจนขวัญเสียบางคนอาจขออาศัยนอนห้องพี่แอร์ใจดี หรือแม้กระทั่งแอร์ทั้งไฟลต์นอนด้วยกันทั้งหมดเลยก็เคยมี



"โรงแรมน่ากลัวแถบภาคใต้"


สำหรับโรงแรมที่น่าหวาดกลัวน่าเกรงขามในสายตาของพวกเราจากการสัมภาษณ์และสำรวจด้วยตัวเองได้แก่โรงแรมคราวน์ในยาง ภูเก็ต โรงแรมวังใต้ สุราษฎร์ธานี โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เชียงใหม่ โรงแรมเจียงไคเช็คแอร์พอร์ต ไต้หวัน

จากโรงแรมทั้งสี่แห่งนี้ ตอนนี้ที่ยังคงพักอยู่ก็คือโรงแรมวังใต้ กับโรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เราไม่ได้พักอีกสองโรงแรมที่เหลือแล้ว

ในแต่ละปีฝ่ายบริหารจะทำการสอบถามลูกเรือเรื่องโรงแรมที่พักในทุกๆ ด้าน เชื่อว่าฝ่ายบริหารและลูกเรือทุกคนคำนึงถึงเป็นสิ่งแรกคือเรื่องความปลอดภัย แต่ว่าความปลอดภัยจากสิ่งเร้นลับนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ลูกเรือที่กลัวผีคิดถึงเป็นข้อแรกๆ

มาสิครับ ผมจะพาทัวร์โรงแรมติดอันดับเหล่านี้กันเลยครับ เริ่มอันดับแรกที่โรงแรมคราวน์ในยาง ภูเก็ตก่อนเลยครับ โรงแรมนี้มีลักษณะเป็นรีสอร์ต อยู่ติดหาดในยางอยู่ด้านหน้าทะเล วิวทิวทัศน์สวยงาม ท่ามกลางต้นไม้งามหนาทึบ ใครได้ไฟลต์ค้างที่นี่เหมือนไปพักผ่อนหย่อนใจจากวันอันวุ่นวาย แต่เฉพาะกลางวันเท่านั้นนะ



"เพราะอยู่ใกล้สุสาน"


ทำไมหรือครับ เพราะที่ตั้งของโรงแรมนั้นพูดกันปากต่อปากว่าอยู่ใกล้อดีตสุสานของชาวมุสลิม จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ พยายามถามพนักงานโรงแรมแล้ว ไม่มีใครปริปากบอกเลยสักคน นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้น่ากลัวอีกอย่างคือลักษณะของโรงแรม ซึ่งไม่เหมือนโรงแรมทั่วไป ด้วยความที่ต้องการให้เป็นแบบรีสอร์ต จึงออกแบบให้หน้าห้องเป็นทางเดินเชื่อมกัน และมีต้นไม้ใหญ่และสวนอยู่ตรงกลาง ห้องตรงข้ามจึงอยู่ห่างออกไปพอสมควร ถ้าเป็นโรงแรมทั่วไป ห้องตรงข้ามห่างกันแค่สองหรือสามก้าวเท่านั้น

เท่านั้นไม่พอ ในห้องจะมีแสงสว่างน้อย แต่เมื่อพวกเราเขียนจดหมายแนะนำให้ติดไฟมากขึ้น โรงแรมจึงปรับปรุงติดตั้งหลอดไฟให้สว่างมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนด้านหลังห้องจะเป็นกระจกใส เปิดม่านไปจะเป็นป่ารกชัฏเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงรายกันสลอนตามธรรมชาติของป่า อ้อ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ แทบจะไม่มีใครเปิดม่านนั้นเลย แทบทุกคนกลัวจะแย่ ไม่เว้นแม้แต่ผม ก็กลัวอะไรต่อมิอะไรหรือใครโผล่หน้ามาหานะสิครับ มิหนำซ้ำ บางห้องจะเป็นห้องมุมอับ มีเฉพาะประตูเข้ากับหน้าต่างบานเกล็ดบานที่ติดกับประตูบานเดียวเท่านั้น ด้านในทึบสนิท ไม่มีหน้าต่างใดๆ อีกเลย ก็น่ากลัวไปอีกแบบ คือมันทึมๆ ทะมึนๆ ยังไงชอบกล



"ผู้หญิงชุดคลุมอยู่ปลายเตียง"


บางคนว่าในอดีตก่อนจะมาเป็นโรงแรม เจ้าของต้องการสร้างเป็นคอนโดพักอาศัย แต่ในที่สุดเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นโรงแรม ซึ่งก็อาจเป็นไปได้

สำหรับน้องๆ เพื่อนๆ ที่เคยเจอ ประสบการณ์ แปลกๆ ที่โรงแรมนี้ตามที่รับฟังมาก็ได้แก่ อาบน้ำอยู่ดีๆ น้ำที่กำลังไหลอยู่นั้นเกิดหยุดขึ้นมากระทันหัน ที่สำคัญเป็นแค่ห้องเดียวเท่านั้น ผมก็แย้งว่าอาจเป็นปัญหาขัดข้องทางเทคนิคก็ได้ ผมไม่รู้ว่าโรงแรมจัดการเรื่องท่อน้ำในห้องนั้นอย่างไร แต่ที่รู้คือน้องคนนั้นขอย้ายห้องทันที

ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งตกใจตื่น และได้ยินเสียงทีวีดังมาจากห้องข้างๆ เมื่อเช็คเอาต์เพิ่งรู้ว่าห้องนั้นว่าง ไม่มีแขกเข้าพัก บางคนก็เล่าว่าตอนกำลังล้มตัวลงนอน เห็นเหมือนผู้หญิงสวมชุดคลุมแบบมุสลิมแวบผ่านสายตาอยู่แถวปลายเตียง ไม่แปลกเลยที่เธอรีบตื่นแล้วโทร.ขออาศัยเพื่อนแอร์อีกคนในไฟลต์นอนด้วย โดยที่ไม่บอกไม่เล่าเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อนก็ใจดีแสนดี ไม่ถาม เพราะต่างมองตาก็รู้ใจ และที่สำคัญคงไม่กล้าถามมากกว่า คงจะกลัวว่า เธอ จะตามมาที่ห้องนี้อีกครั้ง



"ไฟปิดๆ เปิดๆ"


สจ๊วตรุ่นน้องคนหนึ่งเล่าว่า กำลังดูทีวีอยู่ดีๆ ไฟก็ดับ สักพักไฟมา ครั้งแรกก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร แต่ครั้นเข้านอน กำลังหลับอยู่ดีๆ ไฟในห้องดันสว่างพรึบขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยู่คนเดียวแล้วก็ไม่ได้เอื้อมมือไปเปิดสวิตไฟแต่อย่างใด งานนี้เดือนร้อนเพื่อนสจ๊วตอีกคนในไฟลต์ที่ต้องแบ่งที่นอนให้ แต่พวกเราก็เข้าใจและเห็นใจกันดีนะ ไม่ค่อยบ่นว่าหรือรำคาญเลย เพราะต่างคนต่างก็กลัวและเห็นใจกันเสียมากกว่า แต่เท่าที่สังเกต คนที่กลัวมากๆ มักจะเป็นน้องใหม่นะครับ พี่ใหญ่มักจะไม่ค่อยกลัวเสียเท่าไหร่

คราวนี้มาถึงตัวผมเองบ้าง ครั้งหนึ่งเคยได้ห้องอยู่ด้านในสุด ห้องนี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นห้องนั่งเล่น ส่วนที่สองเป็นห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างกระจกบานเลื่อนอยู่ตรงหัวนอน แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมปิดม่าน แต่ก็ยังไม่ทำให้หายกลัวเท่าไหร่ ก่อนนอนจำไม่ได้ว่าเหลือบตาไปมองทางม่านนั้นกี่ครั้ง ด้วยกลัวว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมโผล่มา คิดทีไรรู้สึกหวิวๆ ตรงต้นคอทุกทีเลย ปรากฏว่าคืนนั้นจะผ่านไปด้วยดีมากหากประตูห้องนอนไม่ปิดมาดังปัง ทั้งที่ไม่มีลมหรือไม่มีสาเหตุอื่นใดที่จะทำให้บานประตูนั้นขยับได้



"โทรศัพท์ดังไม่กล้ารับ"


กริ๊ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ผมสะดุ้งสุดตัว ขนลุกซู่ ใจหนึ่งกล้า ใจหนึ่งกลัว อยากรับถ้าเป็นเพื่อนในไฟลต์โทร.มา แต่ถ้ารับแล้วกลายเป็นเสียงอื่นที่ไม่คุ้นละ จะทำยังไง แต่ด้วยความกลัว จึงตัดสินใจรับ และก็ดีใจที่ตัดสินใจไม่พลาด เพราะเพื่อนในไฟลต์โทร.มาขอยาแก้ปวดหัว ผมเลยได้โอกาสขอไปนอนในห้องเขาเลย และเราก็สนิทสนมกันนับตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา แบบนี้เรียกว่าได้เพื่อนเพราะความกลัวเป็นเหตุ

และที่เด็ดกว่านั้น ที่โรงแรมเดียวกันนี้ ครั้งหนึ่งเราได้ทีมงานที่เข้าขากันดีมากทั้งแอร์ทั้งสจ๊วต บินลงไปแล้วก็เข้าโรงแรม เมื่อถึงโรงแรม พี่จิ๊บ แอร์สาวแสนเปรี้ยว(แต่กลัวผีมากกก)ออกอุบายขอห้องชุดใหญ่มีห้องย่อยสามห้องอยู่ข้างใน แถมห้องนั่งเล่นอีกหนึ่งห้องใหญ่ ที่เรียกว่า ทรีรูมสวีท แล้วก็จัดแจงแบ่งห้องให้ผมอยู่ห้องเดียวกับน้องสจ๊วตอีกคน ส่วนแอร์ทั้งสี่คนรวมทั้งตัวเธอก็แยกกันห้องละสองคน สรุปวันนั้น พวกเราหกคนรวมกันอยู่ในห้องนั้น



"ทีวีเปิดปิดขึ้นเอง"


จากนั้นก็พากันเฮกันไปกินส้มตำร้านป้าเจ้าประจำของลูกเรือ กินไปคุยไป สนุกสนาน ตกเย็นกลับห้องมานั่งดูทีวีกันในห้องรวม ถึงเวลานอนก็แยกย้ายกันเข้านอนตามที่นัดแนะไว้ ถึงตอนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เล่าแล้วขนลุก ขณะที่กำลังเดินแยกกันนั้นหลายคนจังงังตัวแข็ง ทันใดนั้นน้องแอร์คนหนึ่งก็เปล่งเสียงกรี๊ดออกมา จะไม่ให้เราตกใจกลัวได้ยังไงครับ ก็เจ้าทีวีที่เราปิดไปแล้วดันเกิดเปิดขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่รีโมตคอนโทรลยังคงวางอยู่บนโต๊ะรับแขกอย่างดี ไม่ได้อยู่ในมือใครทั้งสิ้น และก็ไม่มีใครแกล้งล้อเล่นกันด้วย พวกเราจะไม่ล้ออะไรกันแผลงๆ เด็ดขาดกับที่นี่ ผมกับสจ๊วตอีกคนจึงทำใจแข็งรวมใจกันเดินไปที่ทีวีนั่น(ทั้งที่กลัวจนขนหัวลุกซู่) แล้วถอดปลั๊กทีวีออกเสีย ถึงตอนนี้พวกเราทั้งหมดหกคนก็อัดกันอยู่ในห้องเดียวกันเลยครับ ผมกับสจ๊วตอีกคนอาศัยโซฟาในห้องเป็นที่นอน ส่วนแอร์สาวทั้งสี่ก็นอนเบียดกันอยู่บนเตียง ไฟสว่างจ้า

คืนนั้นไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเจ้าทีวีนั้นอีกเลย ทุกคนเงียบกริบ มาพูดถึงเรื่องนี้อีกทีก็ตอนเช้า สว่างแล้ว แต่จนบัดนี้เราก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่า คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับทีวีและห้องนั้น รู้เพียงอย่างเดียวว่า ถ้ามีไฟลต์ค้างที่นี่อีก ผมจะไม่ไปพักที่ห้องนั้นอีกเลย



"แขกคิดสั้นฆ่าตัวตาย"


และหลายคนก็โล่งใจเมื่อบริษัทตัดสินใจเปลี่ยนที่พักจากโรงแรมที่น่ากลัวนี้ไปเป็นโรงแรมอื่น และผมกำลังพยายามสอบถามเรื่องราวสยองขวัญที่โรงแรมใหม่ ถ้ามี จะรีบนำมาเล่าให้คุณฟังก่อนใครเลยครับ

โรงแรมถัดมาเป็นโรงแรมวังใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรารู้กันดีว่าจังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติที่สวยงาม เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวมากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งหน้าไปสู่เกาะสมุย ในตัวจังหวัดนั้นก็ไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่

โรงแรมที่พักแห่งนี้ดูค่อนข้างเก่า และอึมครึมนิดหน่อย และโรงแรมนี้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก เป็นที่โจษจันกันทั่วทั้งบริษัทหากเราไม่รู้ว่ามีแขกของโรงแรมคนหนึ่งเกิดคิดสั้น ฆ่าตัวตาย



"ประตูติดหนึบไม่สามารถเปิดได้"


เรื่องนี้แดงขึ้นหลังจากที่พนักงานของโรงแรมพยายามติดต่อโดยโทรศัพท์เข้าไปยังห้องพักของแขกผู้ล่วงลับผู้นั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เลยเวลาที่จะต้องเช็คเอาต์มานานแล้ว หัวหน้าพนักงานต้อนรับจึงตัดสินใจให้เบลบอยโรงแรมขึ้นไปเคาะประตูเพื่อเรียก เผื่อว่าแขกผู้นั้นจะนอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ สิ่งที่ได้รับคือ ความเงียบ

หลังจากที่พยายามเคาะเรียกอยู่นาน หัวหน้าพนักงานต้อนรับจึงตัดสินใจให้ทำการงัดประตู อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่โรงแรมจะลงมือทำกัน โดยได้รับความร่วมมือจากช่าง เบลบอย แม่บ้าน เมื่องัดประตูจนสามารถเผยอออกไปได้แล้ว ปรากฏว่ายังติดดับเบิ้ลล็อกด้านในอีก ฝ่ายช่างก็พยายามแงะตัวล็อกนั้นอย่างสุดความสามารถ ตอนนั้น ทุกคนมั่นใจแล้วว่า แขกท่านนี้ต้องอยู่ในห้องแน่ พร้อมภาวนาว่าขอให้นอนหลับอยู่บนเตียง ขณะเดียวกัน ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าห้องนั้นเฉลียวใจว่าประตูนั้นหนักผิดปรกติ

เมื่อช่างสามารถทำลายดับเบิ้ลล็อกตัวนั้นได้แล้ว จึงดันประตูเข้าไปอย่างแรง หมายจะเข้าไปดูว่าแขกผู้นั้นยังคงอยู่ดีในห้อง ทว่าดันเข้าไปได้เพียงนิดเดียวก็ติดหนึบ ไม่สามารถง้างประตูให้กว้างขึ้นอีกได้



"แขกคนนั้นผูกคอตาย"


ช่างเกิดเอะใจว่ามีอะไรมาขวางอยู่ด้านใน หรือว่าเป็นกระเป๋าของแขกท่านนั้น จะยังไงก็ตาม ช่างคนเดิม พร้อมกับหัวหน้าพนักงานต้อนรับพยามยามดันเข้าไป แม้จะยากเย็นแสนเข็ญ และสามารถขยับเขยื้อนได้ทีละนิดก็ตาม ในที่สุดประตูนั้นก็เปิดออกพอที่จะสามารถโผล่โชงกศีรษะเข้าไปดูข้างในนั้นได้ ว่ามีอะไรค้ำอยู่

สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาเขาผู้นั้นคือ เรือนร่างของแขกเจ้าของห้องนั่นเองที่ขวางอยู่ด้านใน โดยมีศีรษะเอียงห้อยอยู่ พร้อมกับเชือกมัดที่คอต่อตรงไปยังลูกบิดประตูด้านใน

เฮ้ยแขกผูกคอตาย เขาตะโกนเสียงหลง มือและปากสั่นเทา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยังไม่เชื่อ นึกว่าเขาอำเล่น ช่างคนนั้นหมดแรงที่จะดันประตูเข้าไปอีกแล้ว แต่คนอื่นๆ ที่เหลือยังคงมีเรี่ยวแรงอยู่ จึงช่วยกันจนสำเร็จ

แล้วภาพที่ทุกคนเห็นก็เป็นภาพเดียวกับที่ช่างได้เห็นมาก่อนหน้านั้นเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว



"ปิดชั้นนั้นไม่ให้ใครพัก"


ก่อนที่ทุกคนจะทำอะไรมากไปกว่านั้น ตำรวจก็มาถึงพอดี แล้วเก็บหลักฐานเท่าที่เก็บได้ไปพิสูจน์ เท่าที่ทราบจากพนักงานโรงแรม แขกของโรงแรมผู้นั้นไม่ได้เขียนจดหมายระบายความในใจใดๆ ไว้เลย และโรงแรมจึงติดต่อทางบ้านเพื่อแจ้งข่าวและให้มาดำเนินการต่อไป ขอให้คุณไปสบายเถิดครับ

และเท่าที่รู้หลังจากเหตุการณ์นั้นคือ โรงแรมปิดชั้นนั้นทันทีในวันรุ่งขึ้น และเมื่อข่าวนี้รู้ถึงหูพวกเราชาวลูกเรือ ปรากฏว่าในช่วงใหม่ๆ นั้นพวกเราต่างหวาดผวา กลัวจะได้ไฟลต์ค้างที่โรงแรมแห่งนั้น ส่วนคนที่ได้ไฟลต์นั้น ก็จะชวนเพื่อนให้แลกไปด้วย หรือไม่ก็ชวนสามี ภรรยา หรือลูกให้ตามไปเที่ยวไปนอนเป็นเพื่อนด้วย หรือไม่ก็นั่งร้องเพลงอยู่ในคาราโอเกะ ต่อด้วยนั่งอยู่ในค็อฟฟีช็อปของโรงแรมจนถึงเช้า ที่กลัวมากหน่อยก็ยอมจ่ายเงินส่วนตัวไปนอนที่โรงแรมอื่น นั่นเป็นการแก้ปัญหาของคนขี้กลัว ทุกวันนี้เราก็ยังคงพักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ โดยยังไม่มีใครพบเห็นเหตุการณ์ผิดปรกติใดๆ เพียงแต่ว่า ถ้าเราได้ไฟลต์ค้างที่นั่น เราจะสงบปากสงบคำไม่พูดถึงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดตลอดเส้นทางครับ



"จงใช้วิจารญาณก่อนทำอะไร"


อ่านถึงตรงนี้ ลองหันไปดูที่ประตูห้องคุณสิครับว่าเป็นแบบลูกบิดหรือเปล่า และอย่าลืมล็อกประตูให้หนาแน่นก่อนนอนนะครับเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และอยากฝากให้น้องๆ จงใช้วิจารณญาณและสติสัมปชัญญะในการแก้ไขปัญหาที่ถั่งโถมเข้ามาในชีวิต อย่าวู่วาม อย่าคิดสั้น อย่าทำร้ายตัวเอง จงหันหน้าเข้าหาพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน หรือนักจิตวิทยา ชีวิตเรายังมีค่า และมีอะไรให้น่าค้นหาอีกมากในโลกนี้นะครับ

ขอพักเรื่องราวต่างๆ จากโรงแรมน่ากลัวไว้เท่านี้ก่อน ติดตามความน่ากลัวตอนต่อไปตอนหน้า



"เสียชีวิตทั้งหมด 104 คน"


ก่อนจากขอฝากข่าวสะเทือนใจในวงการสายการบินครับ คงไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าเรื่องเครื่องบินตกครับ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2548 เครื่องบินแบบโบอิ้ง 737 ของสายการบินคัมแอร์ แห่งประเทศอัฟกานิสถานตกลงบริเวณห่างจากเมืองคาบูลไปทางทิศตะวันออกประมาณ 20 กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศหนาวจัดและมีหิมะปกคลุมทั่วบริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นหุบเขา ทำให้การค้นหานั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ทางการอัฟกานิสถานเชื่อว่า ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดรวม 104 คนเสียชีวิตทั้งหมด

ฟังแล้วหดหู่ใจพอสมควร แต่ก็ขอให้ทุกคนหลับสบาย และน้องๆ ที่อยากเป็นแอร์สจ๊วตอย่าเพิ่งขวัญหนีดีฝ่อนะครับ เล่าให้ฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่าทุกชีวิตก็ต้องจากไปเหมือนกันหมด และอยากบอกว่าอุบัติเหตุทางอากาศเป็นอุบัติเหตุที่มีโอกาสเกิดน้อยที่สุด แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นทีหนึ่งแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ คงเป็นเพราะต้องสูญเสียผู้คนเป็นจำนวนมาก และเพราะโลกแห่งข่าวสารสมัยนี้มีประสิทธิภาพดีและรวดเร็วทันใจ ทำให้คนที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกรู้และเห็นเหตุการณ์อย่างถูกต้องและฉับไวนั่นเอง



แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องผี


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์