โรงแรมผีสิง


โรงแรมผีสิง

"ใครบางคนดึงผ้าคลุมเตียงทางปลายเท้าเธอ"


คราวนี้เรามาต่อกันที่เมืองเก่าแก่ทางเหนือของเมืองไทยกันดีกว่า เมืองที่ว่านี้คือเชียงใหม่นั่นเอง พวกเราจะดีใจลิงโลดมากเป็นพิเศษถ้าได้ไฟลต์ค้างที่นี่ ถือเป็นไฮไลต์ของไฟลต์ค้างเลยก็ว่าได้ จะไม่ให้พวกเราปลื้มได้ยังไงเล่าครับ ก็ที่นี่อากาศก็ดี ผู้คนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อาหารพื้นเมืองก็แสนอร่อย (และถูก) สถานที่ท่องเที่ยวก็มากมาย ทั้งโบราณสถาน วัดวาอารามทั้งเก่าทั้งใหม่ หรือจะขึ้นดอยก็ยังไหว แม้กระทั่งสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่หลายๆ คนชื่นชอบ ทั้งไนต์บาซาหรือผับบาร์ประดามี

โรงแรมที่เราพักเดิมชื่อโรงแรมแม่ปิง แต่ตอนหลังเข้ามาอยู่ในเครืออิมพีเรียล จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จนปัจจุบันนี้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งภูมิทัศน์ภายนอกและการตบแต่งภายในจนไม่เหลือร่องรอยโรงแรมเดิมให้เห็นอีกแล้ว

น้องติ๊ก แอร์สาวห้าวแก่นคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าโดนผีหลอกที่โรงแรมนี้ เมื่อพวกเราคาดคั้นให้เล่าความจริงออกมาก็ได้ความว่า คืนหนึ่งหลังจากที่บินลงมาแล้วเข้านอนที่โรงแรมนี้ เธอหลับไปด้วยความเพลียทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่า ตื่นมาอีกทีก็ตกเตียงอยู่กับพื้นห้องเสียแล้ว เธอเองก็ยงงุนงงอยู่ เพราะปกติแล้วไม่ใช่คนนอนดิ้น เมื่อรู้สึกตัวจึงลุกขึ้นนอนต่อ คงเป็นเพราะง่วงจัดนั่นเอง ในขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั้น ติ๊กรู้สึกคล้ายกับมี ใครคนหนึ่ง มาดึงผ้าคลุมเตียงที่นอนทับอยู่ไปทางปลายเตียงจนตัวเธอไหลไปตามแรงที่ดึงนั้น ถึงตอนนั้นเธอมั่นใจแล้วว่าจะต้องมีอะไร พิเศษ ในห้องนั้นแน่ๆ แต่เธอยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเธอตกเตียงอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว



"ไม่มีใครอยู่ห้องเธอเลย"


เมื่อตั้งสติได้ น้องติ๊กจึงรีบเปิดไฟในห้องทันที เพราะบางทีอาจเป็นเพื่อนในไฟลต์มาล้อเล่นก็ได้ แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะใครจะเข้ามาในห้องของเธอได้อย่างไร ในเมื่อกุญแจยังเสียบคาอยู่ในห้อง

จากนั้นน้องติ๊กทำใจกล้าเดินสำรวจดูในห้องเพื่อความแน่ใจอีกทีว่ามี ใคร อยู่ในห้องหรือเปล่า สิ่งที่เธอพบคือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรแปลกปลอมในห้องเลย ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยกเว้นผ้าคลุมเตียงที่ลงไปกองอยู่บนพื้นปลายเตียงเท่านั้น

เมื่อเธอนึกทบทวนเหตุการณ์ดู เธอคิดว่าน่าจะเป็นเพราะหลับโดยไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระและขอเจ้าที่เจ้าทางก่อนเข้านอน สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือคืนนั้นและครั้งต่อๆ ไป น้องติ๊กไม่นอนห้องนั้นอีกเลย

จากโรงแรมในเมืองไทย คราวนี้เราโกอินเตอร์ไปยังโรงแรมต่างประเทศกันบ้าง ผมจะพาผู้อ่านบุกโรงแรม cks แอร์พอร์ต ที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวันกันครับ เมื่อเอ่ยชื่อโรงแรมนี้ พวกเราหลายต่อหลายคนต่างหวาดกลัวกันไปตามๆ กัน แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยเจอ เหตุการณ์ประหลาดๆ ด้วยตนเองก็ตาม แต่รับรู้จากการฟังเรื่องราวที่บางคน สัมผัส ที่นี่แบบปากต่อปาก ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากและมีลักษณะเหมือนไฟลามทุ่งเสียด้วย ยิ่งฟังมากยิ่งทำให้คนฟังเกิดความสะพรึงกลัวและสร้างจินตนาการไปได้ต่างๆ นานา



"เสียงฝีเท้าวิ่งต๊อก แต๊กอยู่รอบเตียง"


ตอนนี้เรามาฟังกันดีกว่าว่าใคร โดนดี ที่นี่บ้าง พี่เล็ก สจ๊วตเฟิร์สต์ (คลาส) เล่าให้ฟังว่าเขารู้กิตติศัพท์ของผีจีนที่นี่ดี แต่ทุกครั้งเขาสามารถข่มตาหลับได้โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ มาหลอนเลย จนกระทั่งคืนหนึ่ง ขณะที่เขาหลับอยู่เพลินๆ เขาสะดุ้งเฮือกตกใจตื่นลืมตาโพลงขึ้นมากลางดึก เพราะพี่เล็กได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งต๊อกแต๊กต๊อกแต๊กอยู่ในห้องรอบๆ เตียง ทีแรกพี่เขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงอะไร และมีใครมาเดินหรือวิ่งในห้องหรือเปล่า จึงเปิดไฟสว่างพรึบหมดทุกดวง ปรากฏเสียงที่ว่านั้นเงียบไป

ครั้นเมื่อพี่เล็กดับไฟและกำลังจะหลับต่อ ปรากฏว่าเสียงฝีเท้ากระทบพื้นนั้นกลับดังทวีคูณ และคราวนี้เสียงนั้นไม่ได้เกิดจากเท้าสองเท้าเท่านั้น แต่ได้ยินเหมือนเสียงเด็กหลายคนวิ่งไล่จับกันในห้อง และที่สำคัญลักษณะของการวิ่งนั้น เป็นแบบวิ่งตามๆ กันหลายๆ คน และเป็นการวิ่งแบบทะลุทะลวงกำแพงห้องไปยังห้องข้างๆ อีกด้วย เมื่อเห็นท่าไม่ดี พี่เล็กจึงเปิดไฟขึ้นมาอีกครั้ง เสียงนั้นก็แผ่วลง แต่ก็ยังไม่เงียบเสียทีเดียว แต่หลังจากที่พี่เล็กสวดมนต์แล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดก็เงียบลงทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ทุกคนตื่นขึ้นมา และอยู่ที่ล็อบบี้เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถไปสนามบินเพื่อบินกลับกรุงเทพนั้น ทุกคนสังเกตเห็นว่าพี่เล็กตาโหลมาก เมื่อถามไถ่ก็ได้ความอย่างที่เล่ามา น้องๆ จึงรุมถามด้วยความกลัวว่า พี่กล้านอนต่อได้ยังไง น่ากลัวออกอย่างนั้น และที่ทุกคนอยากรู้คือพี่เล็กใช้บทสวดมนต์บทไหน พี่เล็กตอบหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ใช้บทไหนทั้งสิ้น ก็พูดภาษาไทยขอไปตรงๆ นั่นแหละว่า ผมทำงานเหนื่อย พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ขออย่ามาเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เท่านั้นเอง



"เด็กวิ่งทะลุกำแพงไปห้องข้าง"


หลังจากนั้นพี่เล็กก็ตรงรี่เข้าไปถามพี่ทินซึ่งได้ห้องติดกันว่า เมื่อคืนมีอะไรผิดปกติไหม พี่ทินตอบทันทีเลยว่า ข้าก็ได้ยินเหมือนเอ็งได้ยินนั่นแหละ คงเป็นเด็กผีจีนวิ่งไล่จับกัน วิ่งทะลุกำแพงห้องเอ็งมาที่ห้องข้า วิ่งไปวิ่งมาวนเวียนกันอยู่หลายรอบนั่นแหละวะ

แล้วพี่ทำไงละ พี่เล็กถามด้วยความอยากรู้

ข้าก็อาบน้ำแต่งตัวมานั่งดื่มในล็อบบี้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะสิ ข้านะลงมาเป็นคนแรกเลยนะจะบอกให้ พี่ทินตอบอย่างภาคภูมิใจ

นอกจากเรื่องนี้แล้ว น้องสจ๊วตบางคนยังเคยเห็น ร่าง หนึ่งในชุดจีนโบราณ เป็นชายแก่เดินท่อมๆ อยู่ในห้องผ่านกระจกเงา น้องแอร์คนหนึ่งเคยได้กลิ่นธูปในห้องนอน บางคนเคยก้มลงไปดูใต้เตียงและเห็นกระถางธูปเล็กๆ อยู่ในนั้น ซึ่งมันไม่ควรจะมาอยู่ที่นั่นเลย



"พี่ ผมขอนอนด้วยคนนะ"


เอ้ สจ๊วตหนุ่มรุ่นน้องตัวใหญ่ยักษ์มาดแมนคมเข้ม ทำหน้ายิ้มแย้มตั้งแต่เห็นผมในห้องบรีฟ (brief) แล้ว และเจ้าเอ้กระซิบบอกผมว่า พี่พี่ คืนนี้ผมขอนอนด้วยนะ ผมกลัว

ผมคิดว่าเจ้าเอ้มันพูดเล่น เพราะรูปร่างท่าทางอย่างนั้นไม่น่ากลัวผี ตัวก็ใหญ่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็เยอะ เป็นไกด์เดินทางร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำก่อนมาเป็นสจ๊วต แต่ใจเป็นปลาซิว เมื่อถึงโรงแรม เอ้เข้ามายืนยันกับผมอีกทีว่า พี่พี่อาบน้ำเสร็จผมจะไปนอนห้องพี่เลยนะ อย่าเพิ่งหลับนะ เอ้ขอร้อง

ผมเองนั้นสามารถนอนหลับได้อยู่แล้ว แม้จะหวาดๆ อยู่บ้างที่นี่ แต่ก็อดสงสารน้องไม่ได้ และก็อุ่นใจดีเหมือนกัน มีอะไรจะได้ช่วยกัน (วิ่งหนี)ได้ทันท่วงที แล้วคืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีใครมากวน

อีกเคสหนึ่งเกิดขึ้นกับผมเอง คราวนี้ไกลหน่อย ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี หลายปีแล้วช่วงที่บริษัทผมรับเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777 เข้ามาใหม่ และผมเป็นพนักงานต้อนรับกลุ่มแรกๆ ที่มีโอกาสบินเครื่องนี้ ทราบกันดีว่าบินไปเกาหลีนั้นใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง ร่างกายอ่อนล้าพอสมควร และถ้ายิ่งเป็นไฟลต์ที่ต้องบินแวะฮ่องกงหรือไทเปก่อนถึงโซลด้วยแล้ว ยิ่งล้าหนักเข้าไปอีก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าไฟลต์เหล่านี้ขายดีจริงๆ เต็มตลอดครับ



"มีเด็กคนนึงมากระโดดอยู่บนเตียง"


เหตุการณ์ที่เกิดกับผมนั้น ผมจำไม่ลืมเลือนเลยทีเดียว เรื่องก็คือวันนั้นผมบินกรุงเทพ-ฮ่องกง-โซล ไฟลต์เหนื่อยเอาการ การบริการก็เต็มสูตร ผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่ง ถึงสนามบินแล้วต้องเดินทางเข้าเมืองอีกร่วมชั่วโมง ผจญกับรถติดอีกต่างหาก ผมจึงป๊อกหลับทันทีที่นั่งรถเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

เมื่อถึงโรงแรม ผมจัดแจงอาบน้ำอาบท่านอนทันที ขืนช้ามีหวังได้นอนแป๊ปเดียว เช้าตรู่ก็ต้องตื่นบินกลับแล้ว หลังจากนอนไปได้ประเดี๋ยวเดียว ผมสะดุ้งตื่นเพราะมีความรู้สึกเหมือนมีเด็กมากกว่าหนึ่งคนมากระโดดโลดเต้นอยู่บนเตียง ตอนนั้นผมนอนตะแคง เสียงนั้นอยู่ด้านหลัง มั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง เพราะเสียงนั้นดังตุบตุบและเตียงก็กระเพื่อมตามเสียงและจังหวะนั้นด้วย แต่ผมสิครับ ขยับตัวไม่ได้เลย ตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นนั่นเอง ทั้งๆ ที่อยากเหลียวหลังกลับไปดูว่ามีอะไรเหมือนอย่างที่คิดหรือเปล่า ก็ทำไม่ได้

สถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป ตุบตุบ เสียงกระโดดบนเตียงยังมาไม่ขาดสาย เตียงกับที่นอนก็กระเพื่อมตามจังหวะต่อไป ผมยังคงตัวแข็งเหลียวหน้าเหลียวหลังไม่ได้เลยโดยไม่รู้สาเหตุ จำได้ว่าไฟในห้องยังสว่างโร่ สักพักเหงื่อเริ่มออกที่ใบหน้าผม และรู้สึกกลัวขึ้นมาในบัดดล และงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา พยายามใช้สติและคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเราทำงานหนักและเหนื่อยมากไปจนคิดและฝันไปเอง



"ผมไม่สามารถขยับตัวได้เลย"


แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ เพราะผมยังลืมตาขึ้นมาและมองดูร่างกายของตัวเองที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ เหมือนมี ใคร มาจับไว้ หรือมี อะไร มามัดตัวผมไว้ ผมมั่นใจ

คืนนั้นผมต่อสู้ดิ้นรนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นเวลานานแสนนาน จำไม่ได้ว่านานแค่ไหน แต่ผมรู้ตัวว่าผมดิ้นรนจนเหนื่อยอ่อน แล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังอยู่ในท่านอนตะแคงอย่างนั้น ทุกวันนี้ ผมยังงงอยู่เลยว่า ผมผ่านคืนนั้นมาได้อย่างไร

นี่คือเหตุการณ์สยองที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานและกับผมเองตามโรงแรมต่างๆ แล้วคุณล่ะ เคยเจอเหตุการณ์ พิเศษ อย่างนี้บ้างไหม เขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิครับ



แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องผี


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์