ขอต่อบุหรี่หน่อย


ขอต่อบุหรี่หน่อย

เรื่องนี้เพื่อนของผมที่ชื่อ นเรศ เป็นคนเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว

จึงนำมาเขียนให้อ่านกัน บางที บางท่าน อาจจะประสบเหตุการณ์แบบนี้เข้าบ้างก็ได้...

นเรศ เป็นคนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีรูปร่างบึกบึน กล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ เพราะชอบออกกำลังกาย ด้วยการเล่นเพาะกาย

ฐานะของนเรศค่อนข้างยากจน บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย ทิ้งให้มารดาเผชิญชีวิตกับลูก ๆ ในโลกแห่งความสับสนวุ่นวาย มารดาของนเรศ ขายของในตลาดอำเภอแม่สาย มีรายได้พอเลี้ยงชีพไปวัน ๆ นเรศในฐานะเป็นบุตรคนหัวปี ก็ต้องดิ้นรนช่วยเหลือครอบครัว เขามีน้องสาวแสนสวยอยู่คนหนึ่ง เธอมีฝีมือทางด้านเสริมสวย และก็ตั้งร้านอยู่มุมหนึ่งในตัวบ้าน ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระของมารดาได้มากทีเดียว



นเรศโตเป็นหนุ่มในวัยเบญจเพสแล้ว แต่ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ทำตัวเหมือนพ่อพวงมาลัยไปวัน หนึ่ง ๆ

ซึ่งขัดกับนิสัยที่แท้จริงของเขา ที่ต้องการทำงานมีรายได้ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานอะไร ขอให้ได้เงินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเอาทั้งนั้น แต่อย่างว่า สมัยนั้นงานการในอำเภอแม่สายก็หายากเต็มที

ครั้นแล้ววันหนึ่งในต้นฤดูร้อน ความโชคดีก็เข้าข้างนเรศ เขาได้พบกับฝรั่งนักสังคมสงเคราะห์ชาวอเมริกันผู้หนึ่ง ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือชาวเขาที่ภาคเหนือของไทย โดยพบกันที่สะพานคอนกรีต ซึ่งทอดข้ามลำน้ำแม่สาย เชื่อมแผ่นดินไทยฝั่งอำเภอแม่สาย กับฝั่งท่าขี้เหล็กของพม่าเข้าด้วยกัน



นเรศมีอัธยาศัยใจคอน่าคบมาก เขารับอาสาพาฝรั่งตระเวนไปตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในเขตอำเภอแม่สาย

ทำให้ฝรั่งประทับใจ กลายเป็นเพื่อนสนิทสนมกันในเวลาสั้น ๆ

ในที่สุด ฝรั่งก็ชวนนเรศไปทำงานด้วยกันที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้เป็นคนเฝ้าบ้าน รดน้ำต้นไม้ และไม้ประดับไปตามเรื่อง โดยตั้งเงินเดือนให้กินอย่างสมน้ำสมเนื้อ แถมมีกระต๊อบเล็ก ๆ ให้อยู่ในมุมบ้านด้านทิศตะวันตกด้วย

บ้านฝรั่งผู้นี้เป็นบ้านเช่า สร้างด้วยไม้สักสองชั้น อยู่ในเนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ ตารางวา มีสนามหญ้า ไม้ดอกหลายชนิด และไม้ประดับหลากพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันทั่วไปชอบมาก ครอบครัวของนายฝรั่ง มีเพียงภรรยาและลูกสาวอีกหนึ่งคนเท่านั้น รอบ ๆ บริเวณบ้าน เป็นเรือนของชาวเมือง มีวัดตั้งอยู่ติดรั้วด้านทิศใต้ ด้านตะวันออกเป็นถนนราชภาคินัย และใกล้กันนั้นเป็นตลาดบุญอยู่



นเรศเป็นคนโสด จึงกินง่าย นอนง่าย ตลาดบุญอยู่ คือแหล่งอาหารของเขาแทบจะสามมื้อ

จังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ไม่มีแสงสี สถานบันเทิง และสำนักอบายมุขดาษดื่นเหมือนสมัยนี้ ยามค่ำ นเรศก็ใช้เวลาขลุกอยู่ในกระต๊อบของตน ด้วยการอ่านหนังสือ และศึกษาตำราภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

หลาย ๆ วัน ถึงจะมีสักครั้งที่นเรศจะออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง บางคืนก็กลับดึกไปหน่อย และในคืนวันหนึ่ง เขาก็ประสบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นระทึกขวัญ

คืนนั้น นเรศออกไปเที่ยวตามประสาหนุ่มตัวคนเดียวแต่หัวค่ำ โดยเริ่มจากเดินเลียบริมฝั่งแม่น้ำปิงหน้าตลาดวโรรส เข้าทางถนนท่าแพ ตัดเข้าซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง ไปออกยังแหล่งโลกีย์ที่ขึ้นชื่อคือ ย่านกำแพงดิน เพื่อดูนางผีเสื้อราตรีที่หลากหลายความสวย เดินโฉบเฉี่ยวไปมา



ได้เวลาหนังรอบแรกลงโรง นเรศก็หลบวูบเข้าโรงหนังศรีวิศาล ซึ่งฉายหนังไทยประเภทรัก ๆ ใคร่ ๆ เรื่องหนึ่ง

กระทั่งหนังเลิก นเรศก็เดินดุ่ม ๆ กลับบ้าน บนถนนมีรถราแล่นโหรงเหรง ไฟฟ้าสองฟากถนนสว่างโร่ นาน ๆ ถึงมีสามล้อผ่านไปมา ใกล้ดึกแบบนี้ สามล้อมักไปออกันอยู่ตามย่านบันเทิง และแหล่งโลกีย์

สมัยก่อนเดินกลับบ้านคนเดียวได้ค่อนข้างปลอดภัย ไม่มีวัยรุ่นกวนเมืองดักตีหัว หรือวายร้ายตีชิงวิ่งราวเกร่อเมืองเหมือนสมัยปัจจุบัน นเรศเดินผ่านหน้าวัดข้างบ้าน จวนเจียนจะถึงประตูเข้าบ้านอยู่รอมร่อแล้ว ฉับพลัน ก็มีเสียงเย็นยะเยือก ดังมาจากปากตรอกแคบ ๆ ที่อยู่ฟากถนนฝั่งตรงกันข้าม





พี่....มีไม้ขีดไหม ? เสียงเรียกนั้นแผ่วเบา แต่ก็ได้ยินชัดเจน

เหมือนว่ามันดังขึ้นภายในรูหูทีเดียว จนทำให้นเรศหันขวับไปมอง สายตาก็สัมผัสกับร่างของชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมสูง ผิวขาวซีด ยืนหลบอยู่หลังเสาไฟฟ้า หน้าปากตรอก

พี่...มีไม้ขีดไหม ? ผ..ผ..ผ...ม ขอต่อบุหรี่หน่อย

เสียงนั้นยานเนิบนาบ ประหนึ่งว่าดังมาจากอีกภพหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกล ซึ่งฟังดูแล้วหนาววูบขึ้นมาทีเดียว นเรศเป็นคนสูบบุหรี่ ขณะที่เดินกลับบ้านเขาก็กำลังสูบบุหรี่จวนจะหมดมวนอยู่แล้ว เมื่อชายลึกลับไม่น่าไว้ใจ เอ่ยปากขอต่อบุหรี่ด้วยน้ำเสียงชวนสยองขวัญ จะปฏิเสธก็ดูกระไรอยู่ อีกอย่างหนึ่งก็อยู่หน้าบ้านแล้ว หากเกิดเหตุร้าย คงโวยวายให้คนช่วยได้ และตัวเขาก็เป็นนักกล้าม แค่ร่างผอม ๆ คนเดียว ซัดสักผลัวะก็คงหมอบ ถึงจะมีอาวุธพวกมีด ก็ไม่พอมือเขาหรอก



เพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่า ชายยามวิกาลมีเจตนาอะไรแอบแฝงบ้าง นเรศจึงตอบไปว่า ไม้ขีดผมมีครับ บุหรี่ก็สูบจวนหมดแล้ว มาต่อบุหรี่ได้ครับ



ชายผู้มีเสียงเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง พากายออกห่างจากเสาไฟฟ้า แล้วตรงรี่เข้ามาหานเรศ มันช่างประหลาดอะไรเช่นนั้น ร่างของมันประหนึ่งลอยวูบเหมือนลม แว๊บเดียวมายืนอยู่ห่างนเรศประมาณหนึ่งวา เสียงหมาวัดพากันโก่งคอหอนโหยหวนราวกับนัดกันไว้ นเรศถึงกับขนลุกซู่ รู้สึกหนาวยะเยือกผิดปกติ

กลิ่นเหม็น ๆ เหมือนหมาเน่าโชยเข้าจมูก แสงไฟนีออนสาดจับต้องชายร่างผอมสูงอย่างจัง ทำให้มองเห็นผิวขาวซีด ซีดจนมีสีเขียว ๆ ปะปน มันยื่นบุหรี่ตัวหนึ่งมาใกล้หน้านเรศ

เสียงหมาหอนดังแสบแก้วหู นเรศเบิกตามองหน้าบุรุษแปลกหน้า แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งโหยง มันเหมือนหน้าของซากศพชัด ๆ เบ้าตาลึกโบ๋ แก้มตอบ ริมฝีปากหนาเตอะ ซีดเผือด ไม่มีสีฝาดของเลือดเนื้อเลย

นเรศใจเริ่มสั่นระรัว บรรยากาศชักไม่น่าไว้วางใจ ความกลัวชนิดหนึ่งเริ่มผุดออกจากสัญชาตญาณ นั่นคือ กลัวผี กลัวสิ่งแฝงเร้น น่าขยะแขยง ซึ่งมนุษย์ทุกคนกลัวกันไม่มากก็น้อย



มีอะไรบางอย่างดลใจให้นเรศเหลือบสายตามองที่พื้นถนน ทันใดนั้น สายตาของเขาก็สัมผัสกับสิ่งผิดปกติ

ซึ่งมีผลทำให้เลือดในกายของเขาเย็นเฉียบ แต่เหงื่อเม็ดโต ๆ กลับผุดขึ้นมาแทบทุกขุมขน นัยน์ตาเบิกถลน แทบจะทะลุออกมานอกเบ้า เพราะ

ชายร่างผอมสูง ไม่มีเงาแม้แต่น้อย ที่น่าขนลุกขนพองก็คือ..ไม่มีเท้าสักข้าง นับแต่หัวเข่าลงไปว่างเปล่า

ผ..ผ..ผีหลอก โอ๊ย.. ช่วยด้วย..ช่วยด้วย..

นเรศตะโกนร้องเสียงหลง กระโจนปีนประตูเหล็กหน้าบ้านเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว นเรศขวัญเสียอยู่หลายวัน เขามารู้ทีหลังว่า

ตรงเสาไฟฟ้าปากตรอก เคยมีวัยรุ่นคนหนึ่งถูกแทงตาย แล้วกลายเป็นผีตายโหง หลอกหลอนชาวบ้านที่ผ่านไปมาเป็นประจำ เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว นเรศเพื่อนของผมก็เลยเป็นคนดี ไม่ยอมกลับเข้าบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ อีกเลย



แหล่งที่มา : เว็บบอร์ด




เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์