ฟ้าผ่าแดด


ฟ้าผ่าแดด

ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยครับ ว่าหลังจากได้ย่ำเดินมาบนถนนชีวิตอันยาวไกลกว่าครึ่งทาง

จนฝ่าเท้าทั้งสองข้างเหยียบเข้าไปบนโลกเทคโนโลยี ที่ก้าวล้ำไร้พรมแดนของปี ค.ศ. ๒๐๐๐ แล้ว ยังจะมาพบกับเรื่องที่พิลึกกึกกือแบบนี้อีก

ก็เรื่องผี ๆ สาง ๆ นั่นแหละครับ แม้ว่าในชีวิตที่ผ่านมาจะประสบกับมันมาบ้าง โดยมีทั้งที่พบกับตัวเอง และจากการบอกเล่าของผู้อื่น แต่ก็ไม่เคยทำให้ผมเชื่อสนิทที่เดียวว่า เหตุการณ์เหล่านั้น คือ ผีหลอก จริง ๆ

จนกระทั่งเมื่อต้นปี ๔๑ ซึ่งครั้งนี้เองที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้วครับว่า.......มันไม่ใช่ผีหลอก



แต่ก่อนที่ผมจะเล่าสู่ท่านผู้อ่าน ต้องขอท้าวความย้อนกลับไปสักนิดนะครับ คือ ระยะหลัง ๆ นี่สุขภาพของผมไม่ค่อยจะดีนัก

โดยเฉพาะระบบการหายใจนั้น นับวันจะไม่ค่อยสะดวก ด้วยเหตุที่สูบบุหรี่จัด อีกทั้งยังเครียดกับสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวผมอย่างมาก จนเป็นเหตุให้โรคกระเพาะที่สิงสู่อยู่ในตัวผมมาเกือบยี่สิบปี บังอาจกำเริบเสิบสานขึ้นมาอีกอย่างไร้เยื่อใย

ด้วยสาเหตุดังที่กล่าวนี้ มีอันให้ผมต้องทำงานน้อยลง แต่ใช้เวลาในการพักผ่อนมากขึ้น และในยามที่เศรษฐกิจร่อแร่ดังกล่าว การพักผ่อนที่ประหยัด คือ การนอนแหละครับ



เมื่อก่อนเวลาเข้านอนของผมอย่างเร็วก็ต้องเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง และตื่นตอนตีห้าครึ่งเป็นอย่างช้า

แต่เดี๋ยวนี้ผมสามารถอยู่ได้ถึงสี่ทุ่มก็นับว่าเก่งแล้ว อีกทั้งยังไปตื่นเอาตอนเจ็ดโมงกว่า ซ้ำหลังตื่นนอนก็ใช่จะทำอะไรได้ เพราะยังไม่หายงัวเงียเสียอีก แต่นั่นยังไม่เท่ากับการนอนหลับของผม แต่ละคืนมันจะนอนฝัน และเป็นฝันที่ไม่ค่อยจะดีนัก

แต่ทว่า ผมไม่เคยนำพาเอามาเป็นกังวล จนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากคิดว่าที่ฝันร้ายแต่ละคืนนั้น คงมีสาเหตุมาจากโรคกระเพาะที่กำเริบหนักเสียมากกว่า

ทว่า มีอยู่คืนหนึ่ง......ผมฝันว่า เพื่อนรักของผมชื่อเสริมเกียรติ ขับรถไปชนกับรถหกล้อ แล้วเสียชีวิต

เสริมเกียรติกับผมเป็นคนบ้านเดียวกัน เราวิ่งเล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ เรียนหนังสือมาด้วยกัน และอยู่ห้องเดียวกันนับแต่ชั้นประถม เพิ่งจะมาแยกจากกันก็ตอนจบมัธยมนี่เอง ผมเข้ามาสอบนักเรียนจ่าทหารเรือที่กรุงเทพ ฯ ส่วนเสริมเกียรติไปสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจที่จังหวัดยะลา ซึ่งนับแต่นั้นเราไม่ได้พบกันอีกเลย



กระทั่งเมื่อสิบเจ็ดสิบแปดปีที่แล้ว ผมถึงได้มีโอกาสพบกับเสริมเกียรติอีกครั้ง ตอนนั้นเขาเป็นตำรวจอยู่ที่หาดใหญ่

มียศเป็นสิบตำรวจเอก ส่วนผมเป็นทหารเรือยศพันจ่าเอก และได้ขอย้ายตัวเองจากต้นสังกัดที่อำเภอสัตหีบ กลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมที่สงขลา

ตอนที่เราเจอกันนั้น ต่างก็มีครอบครัวและได้แปรสภาพเป็น คอทองแดง สมบูรณ์แบบไปเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ ดังนั้น เมื่อพบกันและร่วมวงร่ำสุรากัน ความสัมพันธ์อันเก่าก่อน ก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังดูแนบแน่นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป เป็นเหตุให้ร้านสุราแถวนั้น ได้ลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสองคน

เราทั้งคู่เที่ยวสำมะเลเทเมากันอยู่แถวหาดใหญ่ สงขลา เกือบสามปี ผมก็ลาออกจากราชการ แล้วเข้ามาทำงานบริษัทอยู่ในกรุงเทพ ฯ นับแต่นั้นเราก็ไม่ได้พบกันอีก แม้ผมจะมีโอกาสกลับไปเยือนสงขลาอีกหลายครั้งก็ตาม เนื่องจากเสริมเกียรติเองก็ถูกย้ายไปประจำอยู่ที่อื่นแล้วเหมือนกัน



หากด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นธรรมดาที่จะคิดถึงกันบ้าง โดยเฉพาะผมนั้น

คิดถึงเสริมเกียรติอยู่เนือง ๆ ยิ่งตอนที่ได้ดื่มเหล้ากับเพื่อนเก่าคนอื่น ๆ ก็มักจะคิดถึงและพูดถึงเขาอยู่เสมอ แต่ไม่ถึงกับเอาไปฝันเห็นในตอนหลับหรอกนะครับ

แม้บางครั้งผมจะเคยหลับฝันถึงบ้านเกิดหรือชีวิตในอดีตที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีเสริมเกียรติปรากฎอยู่ในฝันแม้แต่ครั้งเดียว จนเมื่อต้นปี ๔๑ นี่แหละ ที่ผมฝันถึงเขา ซึ่งเป็นการฝันเห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต...... ทว่า มันเป็นเรื่องความตาย และ งานศพของเพื่อนรัก

วันนั้น ผมตื่นขึ้นตอนเช้ามีด และได้นั่งทบทวนถึงความฝัน แต่สุดท้ายก็คิดเอาเองว่า คงไม่ใช่เรื่องร้าย เพราะเคยได้ยินมาว่า ถ้าฝันว่าใครตายก็ให้ถือว่าเป็นการต่ออายุให้ผู้นั้น หรือไม่ก็บ่งบอกถึงการหมดเคราะห์หมดโศกของคนที่เราฝันถึง หรือ อะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่ใส่ใจจนแทบลืมเลือนเมื่อวันเวลาล่วงมา กระทั่งปลายเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน มีเหตุให้ผมต้องเดินทางกลับถิ่นฐานบ้านเกิดอีกครั้ง เนื่องจากได้มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เสียชีวิตลง



นับแต่ไปถึงบ้านญาติที่ตั้งงานศพ ผมก็สาละวนอยู่กับงานนั้น ไม่ได้ไปไหนเลย อีกทั้งเหล้าสักหยดก็ไม่ได้แตะปลายลิ้น

เนื่องจากไม่เป็นการสมควร ด้วยผมเองต้องอยู่ในฐานะเจ้าภาพคนหนึ่ง งานศพที่บ้านผมไม่นิยมตั้งศพกันที่วัดเหมือนอย่างงานศพในเมือง แต่จะจัดกันที่บ้าน เพราะแถวบ้านผมจะมีการฆ่าวัวควายมาทำอาหารเลี้ยงแขก ทั้งยังมีการเลี้ยงเหล้า และมีการตั้งบ่อนพนันตลอดงานด้วย ดังนั้น ถ้าจัดในวัดจะไม่สะดวก และไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง

ผมต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพกำมะลออยู่ด้วยความทรมาน เพราะคอสุราแท้ ๆ ไม่ควรเห็นผู้อื่นดื่มสุราต่อหน้าต่อตา โดยที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสแก้วเลย เป็นเวลาข้ามวันข้ามคืนโดยเด็ดขาด ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้บ่อย ๆ อาจถึงตายได้เหมือนกัน แต่บังเอิญชายชาติทหารใจเด็ดอย่างผม อุตส่าห์กัดฟันทนอยู่ได้ตั้งสี่ห้าวัน จนกระทั่งเผาศพเสร็จ ซึ่งแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะทำได้จริง ๆ

หลังจากพิธีฌาปนกิจศพในบ่ายวันนั้นเสร็จสิ้น แขกเหรื่อต่างกลับกันจนเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงญาติสนิทไม่กี่คน ความกดดันในอารมณ์ของผมที่อั้นอยู่หลายวันก็ระเบิดผาง ตอนนั้น เชื่อว่า เทวดาองค์ไหนก็ห้ามผมไว้ไม่อยู่แล้ว ต้องขอกระเดือกน้ำอมฤตให้ชุ่มฉ่ำหัวใจให้จงได้ แต่พอเอ่ยปากชวนหมู่ญาติที่เป็นคอทองแดงทั้งหลาย กลับมายังบ้านที่ตั้งงาน ผมแทบอยากจะตายตามญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งเผาไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ ครับ



ก็.....โธ่ถังเอ๊ย เหล้าสักหยดก็ไม่มีเหลือไว้ให้ผม



ผมยืนหันรีหันขวางด้วยความงุ่นง่าน พอดีเหลือบไปเห็นรถมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ข้างบ้านคันหนึ่ง สอบถามได้ความว่าเป็นของหลานผมเอง แต่ครั้นจะขอแรงให้ไปซื้อเหล้า ก็ปรากฎว่า เจ้าหลานคนดีดันมาเหนื่อยจนม่อยหลับไปแล้ว เมื่อไม่มีทางอื่น จึงคว้ากุญแจขับรสองล้อเครื่องไปตลาดเองทันที บ้านญาติผมอยู่ห่างจากตลาดสี่หรือห้ากิโลเมตรนี่แหละ ตอนนั้นเกือบหกโมงเย็นแล้ว ฝนก็ดันมาตกพรำ ๆ เอาดื้อ ๆ บรรยากาศจึงดูมืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เวลาตอนนี้ ฟากฟ้าด้านตะวันตกควรจะยังแดงระเรื่ออยู่

ผมฝ่าสายฝนพรำมาถึงตลาดก็ได้เวลามืดค่ำจริง ๆ แม้ไฟฟ้าจากเสาตามเกาะกลางถนนจะถูกเปิดแล้ว แต่ก็ไม่ช่วยให้สว่างมากนัก เนื่องจากเสาไฟฟ้าแต่ละต้นอยู่ห่างกันเกินไป และไฟก็ดวงเล็กกระจิดริด ซ้ำบางดวงยังขาดเสียอีก แต่ผมก็พยายามดั้นต้นไปถึงร้านจนได้ แม้จะทุลักทุเลสักหน่อยก็ตาม มันเป็นเพียงร้านขายของชำแต่มีเหล้า โซดา และน้ำแข็งหลอดขายด้วย ผมได้แม่โขงมาสี่กลม โซดาอีกโหล และน้ำแข็งถุงใหญ่ใส่ไว้ตรงตะกร้าหน้ารถ แล้วขับงอกแงกแบบค่อย ๆ ไป ด้วยเกรงว่ารถจะล้ม เพราะเกือบสิบปีแล้ว ที่ไม่เคยแตะมอเตอร์ไซด์ หากล้มแล้วผมเจ็บคงไม่เสียใจเท่าไหร่นัก แต่ถ้าขวดสี่ใบนั้นแตก หัวใจผมต้องสลายอย่างแน่นอน



ผมขับรถมอเตอร์ไซด์ปุเลง ๆ ช้า ๆ ออกจากร้านค้ามาได้เกือบหนึ่งกิโลเมตร ก็จะผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง

ที่จริงน่าจะเรียกว่าซุ้มขายเหล้าจะเหมาะกว่า เพราะเป็นเรือนขนาดไม่ใหญ่โตนัก กั้นและมุงด้วยจาก ข้างในขายเหล้าและกับแกล้ม ซ้ำยังแว่ว ๆ ว่ามีน้องหนู หน้าตาแฉล้มแก้มแดง มาคอยให้บริการด้วย ซึ่งจะบริการแบบไหนนั้น ผมไม่ขอบรรยาย เนื่องจากไม่ช่ำชองกับเรื่องพรรค์อย่างนี้ ขณะนั้น ตรงบริเวณหน้าร้าน มีชายคนหนึ่งยืนโบกมือเรียกผมให้จอดรถ ในระยะไม่กี่เมตร บวกกับแสงไฟหน้าร้านที่สาดสว่างอยู่พอสมควร ผมเห็นก็จำได้ทันที

เจ้าเสริมเกียรติ เพื่อนรักของผมนั่นเอง......ด้วยความดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า ซึ่งจากกันไปกว่าสิบปี ผมไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปจอดรถตรงเบื้องหน้าเขา ขณะนั้นผมยังไม่ได้ลงจากรถ แต่คร่อมอยู่บนที่นั่ง สองมือจับอยู่ที่แฮนด์ เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาเพื่อนที่จากกันนาน จนรู้ว่าเขาย้ายมาประจำอยู่ที่สถานีตำรวจอำเภอเราเกือบสามปีแล้ว

ผมกับเสริมเกียรติคุยกันอยู่ตรงนั้นนานร่วมห้านาที สุดท้ายจึงชวนเขาไปดื่มด้วยกันที่บ้านญาติของผม แต่เสริมเกียรติปฏิเสธ เขาบอกว่า วันนี้ดื่มมามาก ไปไม่ไหว แล้วเอาไว้วันหน้าค่อยเจอกัน พอเพื่อนปฏิเสธผม ก็เลยทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าไม่ติดธุระอะไร บางทีพรุ่งนี้ผมจะไปหาที่บ้าน เสริมเกียรติไม่ทันได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ และผมเกรงฝนมันจะตกหนักเสียก่อน เนื่องจากพอแหงนขึ้นดูฟ้า เห็นเมฆดำลอยเกลื่อน จึงร้องบอกเพื่อนว่า ขอตัวกลับก่อน พร้อมกับเหยียบคันเกียร์ บิดคันเร่งออกรถจากมา



เหตุการณ์นั้น เมื่อผมมีโอกาสกลับมาทบทวนในตอนหลัง จึงนึกขึ้นได้ว่า คืนนั้นผมไม่อาจมองเห็นหน้าของเสริมเกียรติได้ชัดเจนเลย

ด้วยเขายืนหันหลังหาร้านอาหาร ด้านหน้าของเขาจึงเป็นเงามืด แต่หลังจากนั้น ผมลองพาเพื่อนคนหนึ่งไปยืนตรงที่เดิม และให้อยู่ในท่าเดียวกัน กลับพบว่าสามารถมองหน้าได้ชัดเจน เรื่องนี้ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่หาย

ผมกลับถึงบ้านญาติปาไปเกือบสองทุ่ม จึงถูกคอเหล้าบ่นกันโฉงเฉงที่ไปถึงล่าช้า แต่ผมนั้นเย็นจนตัวสั่นสะท้านเพราะขับรถฝ่าสายฝนมาตลอดทาง อีกทั้งหิวเหล้าจนน้ำลายเหนียวหนึบ จนลืมเรื่องที่เจอเพื่อนเก่าไปเสียสนิท ตั้งหน้าตั้งตากระดกเหล้าลงคออย่างรวดเร็ว ราวกับตายอดตายอยากมาแรมปีทีเดียว

คืนนั้นฟาดเข้าไปเต็มคราบ แบบหลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างวง แต่มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีก็ตอนที่มีหมาตัวหนึ่ง เลียแก้มนวล ๆ ของผม ด้วยความโมโห ผมคิดจะลุกขึ้นเตะเจ้าหมาเสียมารยาท ที่บังอาจทำให้ผมเสียศักดิ์ศรี แต่แล้วก็เตะไม่ลง เพราะเหลือบไปเห็นคนที่นอนข้าง ๆ อีกสองสามคน กำลังถูกมันช่วยทำความสะอาด ปากและแก้มที่เขรอะไปด้วยอ้วกใหญ่ให้อยู่เหมือนกัน



พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย ก็นั่งสูบบุหรี่คุยกับหมู่ญาติ จนตะวันบ่ายคล้อย

กระทั่งพยาธิที่ขดตัวหลับอยู่ในพุง เริ่มตื่นขึ้นมากวนอีก น้ำลายก็ชักจะเหนียวเป็นตังเมอย่างตรงต่อเวลา

เมื่อเกิดอาการดังนั้น ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปหาเสริมเกียรติ ขออาศัยเหล้าเพื่อนกินสักมื้อ เพราะวันนี้หากต้องควักกระเป๋าซี้อกินเอง มีหวังต้องเดินนับหมอนรถไฟกลับกรุงเทพ ฯ แน่นอน บ้านของเสริมเกียรติเพื่อนรักของผม อยู่ห่างจากบ้านญาติไปประมาณสามกิโลเมตร ผมเดินเกร่ไปเรื่อย ๆ เกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึง

ทว่า วันนั้นประตูหน้าบ้านปิด และเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่

ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วบ้านเพื่อนผมคนนี้ จะคึกคักตลอดเวลา ด้วยเหตัที่เขาชอบดื่มเหล้า และคบหาเพื่อนฝูงมาก ดังนั้น แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคอเหล้าเฝ้าโยงอยู่สักคนสองคนเสมอ หรือว่า เดี๋ยวนี้เพื่อนผมกลับตัวกลับใจเป็นคนดีไปแล้ว ทิ้งให้ผมผจญอยู่กับน้ำอมฤตก่อนออกเดินทางไปนอนแช่น้ำอุ่นในกระทะทองแดง ที่แดนยมโลกแต่เพียงลำพังเสียก็ไม่รู้



ผมเดินอ้อมไปทางหลังบ้าน ถึงได้เจอเจ้าของบ้านนั่งจับเจ่ากันอยู่ที่นั่นเอง เจ้าของบ้านที่ว่า

คือ แม่และเมียของเพื่อนรัก แต่ไม่พบตัวเสริมเกียรติ ทั้งแม่และเมียของเสริมเกียรติได้สร้างความฉงนแก่ผมไม่น้อย เนื่องจากทั้งสองคนแต่งชุดดำ

ผมอยากจะถามว่าไว้ทุกข์ให้ใครแต่ไม่กล้า เพราะทั้งสองคนพอเห็นผมเข้าเท่านั้น ก็ชวนกันทำตาแดง ๆ แล้ว และไม่ถึงอีดใจ ทั้งแม่และเมียของเพื่อนรักก็น้ำตาไหลพราก โดยเฉพาะผู้เป็นเมียนั้น ปล่อยโฮออกมาดัง ๆ ไม่อายใคร

ถึงตอนนี้อาการอยากเหล้าของผมได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ชนิดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ในลำคอที่ก่อนหน้านี้มีแต่น้ำลายเหนียว ๆ กลับเหือดแห้งไปหมด กลายเป็นอะไรไม่รู้เข้าไปจุกอยู่ในลำคอแทน จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เอาแต่ยืนทื่อเหมือนถูกสะกด ผ่านไปนานไม่รู้ว่ากี่นาที แม่ของเสริมเกียรติจึงค่อยเผยอปาก พูดออกมาทั้งน้ำตาได้ หากคำพูดของท่าน ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน

เสริมเกียรติมันเมามากลูกเอ๋ย......ขับรถไปชนรถหกล้อ รถพังไม่มีชิ้นดี ส่วนมันตายคาที่เลย...เมื่อกลางเดือนกุมภา....แม่จะบอกไป ก็ไม่รู้ที่อยู่ของลูก



!!!! !!!!!!



ขณะนั้นในหูผมลั่นอื้ออึง มึนหัวดังจะเป็นลมล้มฟาด ให้ตายเถอะครับ นี่มันฟ้าผ่ากลางแดดหรือยังไง ความฝันของผม....ไม่น่าเป็นไปได้เลย

เสริมเกียรติเพื่อนรักของผมตายแล้วจริง ๆ แล้วคนที่คุยกับผมเมื่อคืนนี้ล่ะ อีกทั้งความฝันของผมเมื่อต้นปีที่เป็นการฝันถึงเพื่อนเพียงครั้งเดียวในชีวิตนั้นเล่า ?

ผมทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก ทั้งไม่ได้บอกเล่าเรื่องความฝันให้แม่และเมียของเพื่อนฟัง เพราะสิ่งที่ผมต้องการทำมากที่สุดในตอนนั้นก็คือ รีบบึ่งกลับกรุงเทพ ฯ ให้เร็วที่สุด ยิ่งถ้ากลับเดี๋ยวนั้นได้เป็นดี



แหล่งที่มา : หนังสือ คืนหมาหอน




เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์