ผีนักโทษแหกคุก


ผีนักโทษแหกคุก

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เรือนจำกลางบางขวาง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ขณะนั้นผมได้เข้ารับราชการที่กรมราชทัณฑ์ และถูกส่งมาประจำอยู่ที่เรือนจำนี้ ครั้งแรกผมได้ถูกส่งเข้าประจำอยู่แดน ๖ อันเป็นแดนที่มีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้น

เดือนนั้นเป็นเดือนกรกฎาคม ตรงกับวันที่ ๓ ของเดือน ที่มีการพบญาติเป็นวันสุดท้าย วันนั้นผมมีหน้าที่ถือกุญแจประจำประตูหน้าแดน ๖ ขณะนั้นได้มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานคนหนึ่ง วิ่งกระหืดกระหอบออกมา โดยมิได้บอกกล่าวใด ๆ ทั้งสิ้น ผมคิดว่าแกอาจมีปัญหาอื่น ๆ เกิดขึ้น จึงขอกลับก่อน


ต่อมาได้สักพัก พี่กมลก็เดินออกมา และมีผู้ต้องขัง ๒ คน ประคองแขนมาคนละข้าง



อาศัยที่แกรูปร่างสูงใหญ่มาก เมื่อเดินมาถึงประตูหน้า แกก็รีบสะบัดแขนทั้งสองออก และวิ่งมายังประตู พร้อมกับตะโกนว่า

เฮ้ย ยศ.....ปิดประตูเร็วเข้า

อะไรกันพี่ มีเรื่องอะไรกัน เสียงระล่ำระลักของผมถามออกไป

ผู้ต้องขังปฏิบัติ เป็นคำตอบสั้น ๆ ของแก

พร้อมกันนั้นผมก็รีบล็อคประตูชั้นที่สองทันที เมื่อล็อคแล้วก็ออกมายืนประตูหน้าพร้อมกับพี่กมล ต่อมามีผู้ต้องขังที่ผมเคยช่วยเหลือพวกเขา สมัยทำอยู่ที่โรงพยาบาลภายใน โดยพาพบแพทย์และนำยาให้กินเข้าร่วมสมทบด้วย



หลังจากที่ผมเกลี้ยกล่อมผู้ต้องขังอยู่นาน โดยขออาวุธที่เป็นมีดบ้าง แหลนบ้าง

แล้วแต่ใครจะถนัด แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีใครฟังเสียง ต่างก็ต้องการอิสรภาพกันทุกคน มีอยู่คนหนึ่งเขาพูดกับผมว่า

นาย....นายอย่าเข้ามาเลย หากนายเข้ามา ผมไม่มีโอกาสช่วยเหลือนายแน่ ถ้าคนอื่นไม่จับนายเป็นตัวประกัน มันก็ต้องฆ่านายแน่นอน

เมื่อผมได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทำให้กำลังใจถอยลงไปเยอะ เพราะเกิดมายังไม่เคยพบสภาพเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต เวลาผ่านไปของคืนวันที่สองของการเกิดเหตุการณ์จลาจล

ยิ่งมีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ โดยมีนักโทษชายที่ชื่อ มังกร เอื้อสลุง เป็นหัวหน้าใหญ่ ได้ใช้ให้พวกผู้ต้องขังที่เข้ามาร่วมขบวนการด้วยกัน เตรียมตัวเต็มที่ที่จะรับศึกในวันนี้กับทางการ ส่วนทางราชการได้ส่งกำลังตำรวจ ดับเพลิง หน่วยปราบปรามต่าง ๆ มากมายมาสมทบกับทางเรือนจำ โดยวางกำลังเป็นจุด ๆ หลังจากนั้นก็แบ่งกำลังกันทำหน้าที่กันต่อไป



ระหว่างนั้นมีนักโทษชายคนหนึ่ง กำลังจะปีนกำแพงข้ามจากแดนเกิดเหตุ คือ แดน ๖ ไปยังแดน ๕

โดยการทำลายลวดหนาม และสายไฟ แล้วใช้ไม้พาดต่อปีนข้ามกำแพงไป ฝ่ายกองกำลังของเจ้าหน้าที่ที่ตั้งอยู่บนตึกขังเดี่ยว ซึ่งเป็นที่สูงมองเห็นได้ชัด ก็เล็งปืนมายังร่างของนักโทษที่กำลังจะปีนอยู่ทันที หลังจากสิ้นเสียงประกาศจากทางเจ้าหน้าที่ ให้ทุกคนรีบเข้าที่เดิมและสลายตัว ปรากฎว่าไม่มีใครฟังเลย ดังนั้นเสียงของมัจจุราชสีดำจึงกัมปนาทขึ้น

เปรี้ยง....เปรี้ยง......เปรี้ยง....

สามนัดซ้อนกับความแม่นยำที่ถูกฝึกมาอย่างดี ร่างอันเคราะห์ร้ายแน่นิ่งไม่ไหวติง ศพแรกผ่านไป เหตุการณ์ก็ชักจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก โดยผู้ต้องขังได้ราดน้ำมัน ทินเนอร์ และของไวไฟต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อต่อรองและข่มขู่จะเผาเรือนจำทันที หากเรียกร้องไม่ได้ตามข้อตกลง

คุณมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้พวกนี้สงบลงได้ เสียงผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถามผม ผมตอบว่า คงยากครับท่าน เพราะมีคนตายแล้ว



ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมกันอยู่อีกเกือบหนึ่งวันเต็ม ๆ โดยให้นักโทษคนใดที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาด้านนอก

แล้วถอดเสื้อออกมอบตัว แต่ไม่มีใครเดินออกมาเลย แล้วใครล่ะจะทำให้คนอีกหลายร้อยหลายพันคนดูเป็นตัวอย่าง เพราะศพของนักโทษที่นอนตายวางอยู่ต่อหน้าพวกเขานั่นเอง

ในที่สุด น้ำมันที่ราดพื้นเอาไว้ ก็สว่างไสวด้วยเปลวไฟ มันรุนแรงและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ท้องฟ้าแดงฉานด้วยเปลวไฟ สลับควันดำเป็นระยะ ทั่วแดน ๖ ความชุลมุนก็เกิดขึ้น เพราะทุกคนก็กลัวทั้งความร้อนและความตาย เสียงดัง บรึ้ม บรึ้ม ไม่ขาดระยะ จากถังแก๊ส จนกระทั่งผมพบกับเพื่อนอีกสองคน ตัดสินใจใช้โทรโข่งพูดว่า ถ้าใครไม่มีสวนเกี่ยวข้องให้ถอดเสื้อออกมา แล้วเอามือประสานไว้บนหัว มารวมกันที่ลานดิน

มี ไอ้ปื๊ด คนแรกที่กล้าออกมาโดยได้ยินเสียงของผม และคำรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่โดนยิง คนอื่น ๆ จึงทะยอยตามกันออกมา

ไอ้ปื๊ด...มึงให้พวกเราช่วยกันดับไฟเร็วเข้า เสียงผมตะโกนบอกมัน



ครับพี่ ไอ้ปื๊ดระดมกำลังของพวกมันทันที มันเกณฑ์พวกมันจากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน ช่วยกันดับไฟ โดยมีผมยืนค้ำประกันพวกมันเป็นเดิมพัน จนไฟดับลง

ใครที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกมาด้านหน้าให้หมด สิ้นเสียงของผม และสิ้นแสงไฟ ทุกคนทยอยกันออกมา

หัวหน้าครับ ผมว่าให้ทางตำรวจเข้าเคลียร์ด้านในดีกว่า ตอนนี้กำลังคนของเราพร้อมแล้ว

คุณลองเรียกลูกน้อง มาถามดูว่า มีคนอีกกี่คนที่ยังไม่มอบตัว

ครับผม สิ้นเสียงของผม ไอ้ปื๊ดก็บอกว่า มีอีก ๖ คน ที่ยังไม่ยอมมอบตัว มันหนีขึ้นไปบนตึกนอนของผู้ต้องขัง (ตึกนอนนี้แบ่งเป็น ๒ ชั้น ๆ ละ ๒๕ ห้อง มีห้องนอนและห้องน้ำอยู่ในตัวแต่ละห้อง ส่วนชั้นบนมีหลังคาทรงสูง และตีฝ้าเพดานทั้งหมด) โดยมี นักโทษมังกร เอื้อสลุง อยู่บนนั้นด้วย คำสั่งให้จับเป็นถ้าไม่สู้ จับตายถ้าขัดขวาง



หน่วยปราบปรามทั้งสิ้น ๑๒ คน ชั้นบน ๖ คน ชั้นล่าง ๖ คน ทันใดนั้นเองบนเพดานฝ้าก็มีเสียงดังกุกกัก ๆ

หน่วยปราบปรามตามติดทันที พร้อมกับเสียงตะโกนให้มอบตัว แต่ทุกคนก็ขัดขืนและพยายามจะต่อสู้

เปรี้ยง ๆ ๆ ๆ เสียงปืนจากชั้นบนดังขึ้นเป็นชุด ๆ ชั้นล่างก็ขึ้นไปสมทบ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวแล้วก็เงียบ พวกเขาตายทันที ๓ ศพ จับเป็นได้ ๓ คน ที่ยอมจำนน ศพที่ตายบางศพก็โดนยิ่งที่แขน ที่ขา บางคนก็โดนใบหน้า

มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมจริง ๆ ที่เห็นการฆ่ากัน และคนตายต่อหน้าต่อตาผม หลังจากนั้นจึงได้นำศพให้มูลนิธิ เพื่อรอการพิสูจน์และพิมพ์ลายมือต่อไป

ภายในแดน ๖ คืนนั้นมืดสนิทและเงียบวังเวงเหลือเกิน ไฟฟ้าทุกดวงดับหมด สายไฟถูกตัดขาด มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุแทน ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังอยู่กันอย่างเงียบเชียบ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต่างคนต่างมองหน้ากันและกันในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ความง่วงก็เข้ามาเยือน บวกกับความอ่อนเพลียและให้เตรียมพร้อม โดยห้ามออกนอกเรือนจำ เราจึงหลับกันไปบ้างด้วยความอ่อนเพลีย ผมยอมรับว่า ผมคนหนึ่งละที่กลัวมากที่สุด



พวกเราต้องผลัดกันอยู่เวรคืนละ ๓ ชั่วโมง ตามปกติ โดยไฟฟ้าก็ยังไม่ได้ซ่อมแซม จะมีก็เพียงสปอตไลท์ ๒ ดวง ด้านหน้ากับด้านหลังเท่านั้น


เฮ้ย รุณ เวลากูอยู่เวร มึงอยู่เป็นเพื่อนกูด้วยนะ เวลามึงอยู่เวร กูจะได้อยู่เป็นเพื่อน เราตกลงกัน เพื่อนผมก็ โอ.เค.ทันที คืนแรกผ่านไป พวกเราหลับสนิทกันเหลือเกิน

วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ วันนี้ถึงเวรของผม ซึ่งอยู่ผลัดที่ ๓ คือ ตั้งแต่เวลาตีสาม ถึง หกโมงเช้า ผมต้องลุกขึ้นมาอยู่คนเดียว เพราะอรุณคู่หูผม เกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน หรือหลอกว่าป่วย เพราะความกลัว ผมก็ไม่แน่ใจ ผมสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลในคืนนี้ เพราะแมวที่เลี้ยงไว้ในเรือนจำมันร้องและกัดกันอยู่ตลอดเวลา ความจริงมันน่าจะเงียบเสียด้วยซ้ำ เพราะผมคิดว่าพวกมันคงตายไปกับไฟที่ถูกเผา

ผมเดินไปตามเสียง โดยหวังจะไล่มันให้หยุดร้อง เพราะความหนวกหู ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ก็หลับกันหมด มันมืดเหลือเกิน เห็นแต่เสาไฟที่ดำเป็นตอตะโก และกลุ่มก้อนของหวายบ้าง ไม้รวกบ้าง ที่โดนเผาไหม้จนดำหมดแล้ว แต่บางทีก็ยังมีกลุ่มควันลอยล่องอยู่บ้าง ผมหยิบหินได้ก้อนหนึ่ง ผมจึงเอาขว้างไปที่เสียงของแมวที่มันกัดกัน

เฮ้ย...หยุด...เงียบ...



เสียงผมตวาดให้แมวคู่นั้นหยุดร้อง ครับ มันได้ผล มันหยุดร้องทันที แล้วผมก็เดินหันหลังกลับ

ทันใดนั้นเอง เสียงร้อง เหมียว ๆ ดังมาก แต่เสียงมันแหบแห้ง เหมือนเสียงของวัว ผมหันกลับไปดู หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นทันที เมื่อผมเห็นเจ้าแมวตัวที่ผมไล่มัน กระโจนพรวดออกมาจากกองเถ้าถ่านนั้น มันวิ่งผ่านหน้าผมไป ผมขนลุกซู่ทันที ตั้งแต่ปลายเส้นผม ยันปลายเท้า ผมเย็นเฉียบไปหมด แล้วมันก็หยุดหันมามองผม

คุณพระช่วย ตามันแดงเหมือนแสงไฟ ตัวมันขนาดเท่าลูกวัวตัวเขื่อง ๆ แล้วมันก็กระโจนพรวดหายไปในความมืด

ผมตั้งหลักได้ ผมรีบวิ่งไปที่เพื่อน ๆ นอนกันอยู่ พยายามเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครลุกขึ้น เพราะความอ่อนเพลียของแต่ละคนนั่นเอง ผมต้องนั่งอยู่คนเดียวจนสว่างคาตา แล้วผมก็เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง มีแต่คนหัวเราะเยาะผม หาว่าผมอดนอนจนฟั่นเฟือน แต่ผมมั่นใจเหลือเกินว่าผมเห็น และประสบกับมันจริง ๆ

รุ่งเช้า....ผมจึงให้ผู้ต้องขังเข้าไปดูที่กองเถ้าถ่านนั้น และเขี่ยดู.....คุณพระช่วย...ซากแมวนอนตายจนไหม้เกรียม อยู่ใต้กองสังกะสี ๒ ตัว



วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ถึงเวรของผมอีกรอบ คือผลัดที่ ๒ ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนถึงตีสาม

ผมลุกขึ้นมาอยู่เวร และเดินตรวจตรารอบตึกของผู้ต้องขัง โดยใช้ไฟฉายส่องเอา เพราะไฟรอบข้างยังซ่อมไม่เสร็จ จะมีไฟเฉพาะบนตึกนอนผู้ต้องขัง กับที่ทำการเท่านั้นที่ซ่อมเสร็จแล้ว


ขณะที่ผมเดินผ่านรอบกำแพงจะพ้นมุมตึกอยู่ ผมได้ยินเสียงเหมือนคนร้อง โอย...โอย...อยู่ ผมนึกว่าผู้ต้องขังป่วย จึงเรียกหัวหน้ายามมาบอกให้ไปดูว่ามีใครเป็นอะไร แต่เมื่อผมให้ไปดูก็ไม่เห็นใครเป็นอะไร ผมจึงกลับออกมา แต่เสียงร้องโอย ๆ ผมก็ยังได้ยินอยู่ เมื่อผมเดินมาถึงช่องกำแพงที่ผู้ต้องขังจะปีนข้าม และโดนยิงตายเป็นศพแรก

คุณพระช่วย ผมเห็นเจ้าคนที่ถูกยิงตาย นั่งอยู่บนกำแพงตรงที่มันถูกยิง มันนั่งห้อยขา มือก็กุมท้องตรงที่รอยโดนยิง เสียงมันก็ร้องโอย ๆ เมื่อเสียงของมันเบาลง ผมเห็นมันโดดลงจากกำแพง และเดินตรงมาที่ผม พร้อมกับเงาดำตะคุ่ม ๆ ของใครอีกคนเดินมาด้านหลังมัน มือก็กำอยู่ที่ขอบตาและหน้าผาก เสียงร้องมันบีบเข้าไปในใจผมเหลือเกิน



เจ้าคนแรกหันกลับไปจูงมือเจ้าคนหลัง แล้วเดินตรงมาทางผม

ให้ตายเถอะ...นั่นมันเจ้าน้อยที่โดนยิงตายบนฟ้าเพดานนี่ เสียงมันร้องโอย...โอย ไม่ขาดระยะ มันค่อย ๆ หันมาทางผมและบอกผมว่า

ช่วยด้วย....ช่วยด้วย....ทรมานเหลือเกิน...

แล้วมันก็แกะมือที่ปิดตาและปิดหน้าผากออก หน้าผากของมันหายไปซีกหนึ่ง ผมเปิดขึ้นจนเห็นมันสมอง ดวงตามันถลนออกมาข้างหนึ่ง ยุบบุ๋มลงไปข้างหนึ่ง เสียงร้องช่วยด้วยของมันค่อยขาดหายไป และจางหายไป แล้วผมก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อผมถูกคนอื่น ๆ ปฐมพยาบาล และทุกคนต่างก็ซักถามผมเป็นการใหญ่ ผมเพียงแต่บอกว่า ผมเป็นลม เพราะอดนอน ผมไม่กล้าเล่าความจริงให้คนอื่น ๆ ฟัง เพราะกลัวว่า เขาหาว่าผมบ้า



ต่อมาเมื่อผมหายดี ผมได้ปีนขึ้นไปดูกับผู้ต้องขังบนฝ้าเพดาน มันอยู่ตรงกบห้องหมายเลข ๓๒ เมื่อผมขึ้นไป

มันเหม็นเหมือนของเน่าแบบแห้ง ๆ ผมจึงใหัฉายไฟค้นหาดู สิ่งที่ผมเห็นก็คือ กระดูกชิ้นหนึ่งยาวประมาณ ๓ นิ้ว เมื่อผมพิจารณาดูดี ๆ มันเป็นกระดูกส่วนหน้าผากของคนนั่นเอง แล้วผมก็นำกระดูกชิ้นนั้นไปวัดบางแพรก ซึ่งอยู่ติดกับเรือนจำ เพื่อให้พระทำพิธีทางศาสนาต่อไป ผมคิดว่า เจ้าน้อยมันคงหายห่วง และคงไม่มาขอร้องให้ผมช่วยอีกตลอดไป




แหล่งที่มา : หนังสือ ตายแล้วไปไหน


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์