คำสัญญา.....ปากผี ถ้าไม่อยากเจอดี อย่าสัญญาตอนเป็น


คำสัญญา.....ปากผี ถ้าไม่อยากเจอดี อย่าสัญญาตอนเป็น

"ทำยังไงจะได้เห็นผี"

"อยากเห็นผีจังเลย"

.....ชีวิตของดิฉัน มักจะได้ยินประโยคนี้จากคนรอบตัว ที่เขาทราบว่าดิฉันสามารถสัมผัสสิ่งลี้ลับนี้ได้ หากจะพูดให้เป็นวิทยาศาสตร์ ดิฉัน ก็คงจะเป็นบุคคลที่ บังเอิญมีคลื่นสมองและประสาทสัมผัสที่บังเอิญรับคลื่นของพลังงานหลังการเปลี่ยนภพ ที่เรียกว่า "ความตาย" ได้เสียมากกว่า


.....เพื่อนๆของดิฉัน ที่เขารู้ เขามักจะมาถามดิฉัน ให้เล่าถึงสิ่งที่เรียกว่า "วิญญาณ"ให้พวกเขาได้ฟังบ่อยๆยามว่าง
เพื่อนหลายคนบอกว่าดิฉันโชคดีจัง ที่มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น หลายคนบอกดิฉันเป็นคนมีบุญที่ได้พบได้เจออะไรแบบนี้ แต่สำหรับตัวดิฉันแล้ว ดิฉันบอกใครๆเสมอค่ะ ว่าการเห็นผีของดิฉัน มันคือ "กรรมค่ะ" กรรม ที่ดิฉันต้องใช้มัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชดใช้ให้กับใคร

......คุณลองนึกภาพ คนๆหนึ่งที่สัมผัสวิญญาณได้มาตั้งแต่เด็กๆ ต้องตื่นมากลางดึก แล้วพบว่ามีเงาดำๆอันเป็นวิญญาณของใครก็ไม่รู้ มานั่งร้องสะอื้นข้างเตียง เพื่อจะขอความช่วยเหลือบ่อยๆสิคะ คุณคิดว่ามันจะบันเทิงตรงไหน
จริงอยู่เราอาจจะชิน เพราะเจอบ่อย แต่ทุกครั้งที่เจอ เราจะรู้สึกอึดอัด เหมือนอยู่ในที่ๆมีความกดอากาศต่ำ จนบางครั้งเหมือนจะหายใจไม่ออก ทุกวันนี้ก่อนนอนดิฉันต้องสวดมนต์ ต้องห้อยพระไว้รอบๆห้อง ก็เลยพอได้นอนหลับสบายได้บ้าง แต่ถ้าเผลอไปนอนต่างที่เมื่อไหร่แล้วลืมห้อยพระ รับรองว่าล้อมรอบตัวเลยล่ะค่ะ

........วิญญาณพวกนี้ ที่เค้ามีแรงพอ เค้าจะรับรู้ได้ว่า คนเป็นๆคนไหนสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพวกเค้า และถ้าบุคคลนั้น เข้ามาในขอบเขตที่พวกเค้าจะไปขอความช่วยเหลือได้ เค้าก็จะแห่กันไปล้อมขอไม่ต่างจากขอทานในประเทศอินเดียที่จะรุมล้อมนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยค่ะ


.......สำหรับหลายๆคนที่บอก อยากเห็นผีได้จังเลย จะได้ขอหวย ประทานโทษ พวกท่านเหล่านั้นช่วยตัวเองยังไม่ได้เลยค่ะ จะมาช่วยคุณได้เช่นไร พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีแต่เพียงพลังงาน และส่วนใหญ่จะล่องลอยไปตามยถากรรมบันดาล คุณลองนึกภาพปลาตายที่ขึ้นอืด แล้วลอยอยู่ในน้ำนะคะ ลอยไปตามแต่แรงน้ำจะพาไป
.......แต่


ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นของมัน


......จริงอยู่ วิญญาณส่วนใหญ่หลังหลุดลอยออกจากซากที่สวมใส่แล้ว จะล่องลอยไปตามกรรม แต่ก็มีบางส่วน ที่มีความเข้มข้นของพลังงานที่รุนแรง เช่นตอนกำลังจะสิ้นใจ ฝังใจอย่างหนักกับอะไรบางอย่าง อาจจะแค้นมาก รักมาก หวงมาก ผูกติดมาก พอละจากซาก พลังงานที่เข้มข้นเลยยังอยู่ สามารถทำอะไรได้เหนือกว่าวิญญาณธรรมดาทั่วไป
ทั้งการหลอกให้กลัว สิงสู่บุคคลจิตอ่อน เกาะติดคนเป็นไปไหนมาไหน อาจจะเกาะติดเพื่อรอเวลาเอาคืน หรือเกาะติดเพื่อเตือนภัย แต่ก็มีเวลาจำกัดของเขาตามกรรมและวาระ เช่นกัน


.....ตาของดิฉัน มักเตือนดิฉันเสมอว่า อย่าไปสัญญาอะไรกับคนเป็นๆ เช่น สัญญาว่าจะรักกันจนตาย หรือแม้ตายก็จะไม่พรากจากกัน ตายแล้วมาหากูนะ จะไปหามืงก่อนนะ อะไรแนวๆนี้เด็ดขาด ตาบอกว่า มันคือการเปล่งวาจาด้วยคำสัตย์ และคำสัตย์ที่เปล่ง มันจะถูกจารึกอยู่ในจิต ซึมไว้ในวิญญาณ หากคนที่เราสัญญาไว้ ตายจากไปก่อน ทีนี้ล่ะ จะสลัดยังไงก็สลัดไม่พ้น เพราะวิญญาณของคนที่ตาย เค้าจะมาทวงคืนคำสัญญานั้นจากเรา


.....ชีวิตดิฉัน รู้จักเพื่อนผู้ตอบโจทย์ คำสัญญาปากผี แบบนี้อยู่คนหนึ่ง เขาผู้นั้น มีชื่อว่า "ท่านสมพร"
สมพร เป็นเพื่อนเราสมัย ม.ปลายค่ะ ตอนนั้นเราเรียนอยู่ที่มัธยมในตัวจังหวัดพัทลุง สมพรเป็นคนไม่หล่อ รูปร่างล่ำ ตัวดำคล้ำตามฉบับหนุ่มใต้ แต่มีแฟนสวย ต้องเรียกว่าสวยมากด้วย อายุเท่ากัน แต่เรียนคนละโรงเรียน
ในช่วงนั้นดิฉันสนิทกับสมพรพอสมควร เพราะมีโอกาสไปเข้าค่ายแนวๆอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยกัน จากเดิมแค่เคยเห็นหน้ากันเฉยๆ ก็เลยกลายมาเป็นชอบพอนิสัย คบกันแบบเพื่อนไป


......ค่ายจบไปแล้ว แต่อารมณ์ร่วมของเรามันยังไม่จบค่ะ ก็ยังจับกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกันเรื่อยๆ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก สมพรจะเป็นแกนนำต้นคิด สมพรมีแฟนสวยมากๆชื่อ ผ้าแพร เด็กพาณิชย์ เวลาไปไหนสมพรก็จะหนีบผ้าแพรไปด้วยทุกครั้ง เพื่อป้องกันข้อครหาว่าไปไหนมาไหนกับพวกเราที่เป็นผู้หญิง อีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้ผ้าแพรสบายใจด้วย โชคดีที่การทำอะไรแบบนี้ ผ้าแพรก็ชอบไปด้วย และผู้ใหญ่ของพวกเราพอทราบว่าเราจับกลุ่มเที่ยวป่าน้ำตก ก็ไม่ได้ห้าม และอนุญาตให้ทำได้ ซึ่งทุกครั้งที่จะไป พ่อของดิฉันก็จะส่งพี่ชายคนรองให้ไปด้วยตลอด เพื่อคอยคุ้มครองดูแล

.......จนเมื่อตอนอยู่ ม.5 เทอม 2 ผ้าแพร แฟนของสมพร ไปดูเขาชนวัวกันแถวบ้าน แล้วมีพวกนักเลง มายิงคู่อริ แต่กระสุนพลาด โดนผ้าแพรเสียชีวิต ทำให้สมพรเศร้าโศกเสียใจมาก เอาแต่คร่ำครวญพร่ำเพ้อ ชอบแอบหนีไปนั่งดูรูปผ้าแพรแล้วร้องไห้อยู่คนเดียวที่โรงเรียนบ่อยๆ พวกเราทำได้แค่คอยปลอบใจ และเฝ้าดูอาการของสมพร สมพรกลายเป็นคนเงียบๆ จากที่ร่าเริง ดูแล้วเขาช๊อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากๆ เราพูดอะไรไป สมพรก็ไม่อยากจะฟังหรอก


.....แล้วสมพรก็เป็นของเขาอยู่แบบนี้มาตลอด จนขึ้น ม.6 ดิฉันสังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของสมพร ที่ไม่ใช่แค่นิสัย
แต่เป็นสภาพร่างกาย ที่ดูซูบผอมลง ตาโหล ขอบตาคล้ำ เดินซึมๆตลอด ตั้งแต่ผ้าแพรจากไป เราไม่เคยเห็นสมพรยิ้มเลยสักครั้ง ชวนไปไหนก็ไม่ไป ดิฉันอดเป็นห่วงสมพรไม่ได้ ก็เข้าไปซักถามพูดคุย ให้เค้าบำรุงรักษาตัวเองบ้าง
สมพรก็จะตอบกลับแบบเนือยๆว่า


"ตายไปเสียได้ก็ดี จะได้ไปอยู่กับผ้าแพร"


....เย็นวันหนึ่ง ดิฉันกลับบ้านช้าสุด เพราะต้องช่วยงานครูบางอย่างเกี่ยวกับการตรวจข้อสอบ ตอนกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ข้างล่างไม่มีเด็กแล้ว ดิฉันเห็นสมพรกำลังเดินอยู่เพื่อจะออกไปที่ประตูโรงเรียน ก็เดินทึมๆซึมๆสไตล์เขาในช่วงหลังๆนั่นแหละ แต่ที่ทำดิฉันขนลุกขนพองคือ แว้บนึงดิฉันเห็นผู้หญิงตัวขาวๆ เดินตามสมพรไม่ห่าง และในฐานะที่ดิฉันไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ตอนเธอยังอยู่ ดิฉันรู้ในทันทีว่า นั่นคือ "ผ้าแพร" แฟนผู้ล่วงลับของสมพรแน่ๆ


.....พอดิฉันเห็นแบบนั้น ถึงจะแค่แว้บๆ ดิฉันก็คิดจะลงไปบอกสมพรเรื่องนี้ แต่จู่ๆกลับมีเสียง เสียงนึงแว้บเข้ามาในหัวสมองไม่ต่างจากการได้ยินคนพูดตรงหน้าว่า

"หยก....อย่า ....มา....เผือก"

ดิฉันเลยต้องหยุดแค่นั้น ตรงบันไดอาคารเรียน ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปอย่างอดเป็นห่วงสมพรไม่ได้

.....ดิฉันเคยรู้มาจากตา...ว่า วิญญาณที่ตามคน เป็น มี2พวก คือ รักมาก กับแค้นมาก ดิฉันไม่แน่ใจว่าที่ผ้าแพร มาตามสมพรอยู่แบบนั้น มันเป็นแบบไหน ดิฉันเอาเรื่องที่เห็นผ้าแพร เดินตามสมพรไปเล่าให้ตาฟัง
ตา...ฟังแล้วนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเอ่ยบอกมาว่า

"นุ้ยลองไปถามเพื่อนคนนั้นนุ้ยแลน๊า เคยไปสัญญาสาบานไอ่ไหรกับโหม๋เด็กไว้ม้าย"



......ดิฉันเลยไปดักพบสมพร แต่ทุกครั้งที่จะไปดักพบเรื่องที่เห็นผ้าแพรเดินตามสมพรอยู่ทีไร เสียงของผ้าแพร ก็จะดังขึ้นในหัวของดิฉันทุกครั้งไปว่า "อย่า มา เผือก" ดิฉันรู้สึกได้ว่า ผ้าแพรไม่พอใจแน่ๆ แต่ดิฉันทนเห็นสมพรที่ซูบลงทุกวันโดยไม่ทำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ตอนนั้น ดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้โบว์และผักเพื่อนสาวที่สนิทฟัง ว่ามันมีอะไรแปลกๆเกี่ยวกับสมพรดิฉันอยากจะพูดคุยกับสมพร แต่หลายครั้งเหมือนมีอะไรดลใจให้คลาดกับสมพรทุกที

.....ดิฉันเลยถือโอกาสช่วงพักกลางวัน ตามหาสมพร จนไปเจอสมพรนอนอยู่ที่ห้องพยาบาล เพราะดิฉันสอบถามจากเพื่อนห้องเดียวกับสมพร ว่าสมพรบ่นว่าปวดหัว เลยไปขอนอนที่ห้องพยาบาล ดิฉันกับโบว์และผักเลยตามไป
สมพรนอนหลับอยู่ ดิฉันเละปลุก เขาก็สะลึมสะลือปรือตาตื่นมา หืม อือออ มีไรหรอ

"สมพร ฟังหยกนะ สมพรรู้ช่ายหม้ายว่าหยกมีสัมผัสพิเศษ"

"อื้ม เพื่อนรู้ แล้วพันพรือละ"

"หยกถามฮิดนะ สมพรเคยสัญญาสาบานไอ่ไหรกับผ้าแพรตอนยังอยู่ไว้หม้าย"

.....สมพรนอนกรอกตา หลับตา คิดอยู่พักนึง.....

"อื้ม เพื่อนเคยไปสาบานกับผ้าแพร หน้าพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศไว้ "

"หา...สาบานหน้าพระสำคัญเลยเหอ สาบานไหรอ่า"

"ตอนนั้นเรากลัวผ้าแพร จะไปมีแฟนใหม่ เพราะเค้าสวย เราเลยพากันสาบานว่า เราจะรักกันตลอดไป ถึงแม้ตายก็จะไม่พรากจากกัน อื้มมมม สาบานไว้พันนี้และ"


**หมายเหตุ**
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือที่รู้จักกันดีว่า "พระพุทธรูปสี่มุมเมือง" ซึ่งมีอยู่ 4 องค์ด้วยกัน และหนึ่งในสี่องค์นั้นประดิษฐานอยู่ ณ จังหวัดพัทลุง โดยนับเป็นพระพุทธรูปประจำภาคใต้ และเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพัทลุงด้วยเช่นกัน พระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาจตุรมุข บริเวณด้านหน้าระหว่างศาลากลางจังหวัดกับศาลจังหวัดพัทลุง มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริด ปางสมาธิ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) โปรดเกล้าฯ พระราชทานไว้ที่จังหวัดพัทลุง เมื่อปี พ.ศ. 2511
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศนี้ได้รับการจัดสร้างขึ้นตามความเชื่อและโบราณประเพณีของบ้านเมือง ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกปักษ์รักษาขอบขัณฑสีมาทั้งสี่ทิศ
โดยเป็นการสร้างตามแบบ "จตุรพุทธปราการ" กล่าวคือ เป็นการนำเอาวัดหรือพระพุทธรูปมาเป็นปราการทั้งสี่ด้าน เพื่อปกป้องภยันตรายจากอริราชศัตรู คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เสริมสร้างดวงชะตาแก่บ้านเมือง และคุ้มครองประชาชนให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ปัจจุบันได้มีการอัญเชิญพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
ทั้ง 4 องค์ ไปประดิษฐาน ณ จังหวัดต่างๆ ตามทิศทั้งสี่ของประเทศไทย ได้แก่
• ทิศเหนือ - ศาลหลักเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
• ทิศใต้ - จังหวัดพัทลุง
• ทิศตะวันออก - วัดศาลาแดง จังหวัดสระบุรี
• ทิศตะวันตก - เขาแก่นจันทน์ จังหวัดราชบุรี

"โอย เพื่อนเห้อ ไซรที่ไปสาบานไอ่ไหรพันนั้นล่ะ"

"ก็เบอะเรารักของเรา เราอยากได้ความมั่นใจนิ กลัวเพื่อนอิชิงแฟน"

"นี้เราบอกไอ่ไหร ให้เพื่อนฟังน๊า หลายวันก่อนนั้น เราเห็นผ้าแพร เดินตามเพื่อนกลับบ้าน พอเราอิลงมาบอก เราได้ยินเสียงผ้าแพร ดังเข้ามาในหัวเราว่า "อย่าทำท่าว".... ((แปลว่าอย่าเผือก))

"ห๊า..จริงเหอหยก"

"เออ แหละ ที่เราเที่ยวตามหาเพื่อนนั้นกะอยากมาบอกเรื่องนี้และ เราไปแหลงให้ตาฟัง ตาเราว่า ถ้าเพื่อนยังปล่อยให้ผ้าแพรตามอยู่พันนี้ ไม่นานเพื่อนอิตายตาม ที่เขาว่า ผีมาพาไปอยู่ด้วยนั้น"

"ดีแล้วหยก ถ้าผ้าแพรอิพาเราไปอยู่ด้วย เราอยากไปอยู่กับเค้านิ"

"คิดผิดแล้วเพื่อนเห้อ ถ้ามื้งตายไปนะ เพื่อนอิไมได้เจอกันหรอก ต่างคนต่างกรรม เข้าใจม้าย"

"แล้วอิให้เพื่อนทำพรือล่ะหยก"

"ตาเราว่า ถ้าสมพรไปสาบานไอ่ไหรไว้ ก็ให้ไปถอนคำสาบานเสีย ถอน ให้ผ้าแพรเลิกผูกติด เค้าอิได้หมดพันธะแล้วไปตามทางของเค้า ถ้าไม่ทำ วิญญาณผ้าแพรก็ไม่ได้ไปไหน สมพรเองก็อิตายเพราะโดนตาม คนเป็นกับคนตาย อยู่ด้วยกันตลอด ก็จะมีแต่มอดไหม้ไปด้วยกัน เข้าใจหม้าย"

"อื้ม เราจะทำตามที่หยกบอกนะ"

......เย็นนั้นพวกเราก็ไปเป็นเพื่อนจุดธูป ถอนคำสาบานตรงพระพุทธนิโรค่ะ เป็นการถอนคำสาบานโดยคนเป็น เพราะอีกคนตายไปแล้วโดยไม่ทันได้ถอน หลังจากวันนั้นมา สมพรก็อาการดีขึ้นค่ะ มีความสดชื่น แจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายกลับมาแข็งแรงกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม จวบจนใกล้วันจะจากชั้นมัธยมกันแล้ว สมพรก็มาเปรยๆ

"อื้ม นี้เราก็จะจบ ม.6กันแล้ว จะได้เจอกันอีกม้ายก็ไม่รู้ ไปนอนเต็นท์ในป่าด้วยกันม้าย"
"อ่ะ ไม่เหมาะมั้งสมพร เราลูกสาว เพื่อนลูกบ่าว นอนเต็นท์เดียวกัน คนจะมองไม่ดีน๊า"
"ฮ่ะๆๆ เราก็แค่อยากได้นั่งแหลงนอนแหลงกันในป่าเฉยๆนิ"
"งั้นเอาพันนี้หวา ป่าพะยอมบ้านเรามีล่องแก่ง มีที่พัก เราไปพักที่นั่นกันดีหวาม้าย ใกล้บ้านหยกด้วย สะดวก"

....ทุกคนก็เห็นด้วยกับดิฉันค่ะ เพราะที่ป่าพะยอม มีล่องแก่ง มีที่พัก สะดวกและปลอดภัยกว่าที่จะไปนอนป่า เราเลยรวมเงินกันไปเปิดห้องพัก ที่ล่องแก่งที่ป่าพะยอม โดยพ่อดิฉันส่งพี่ชายมาคอยอำนวยความสะดวกให้เช่นเดิม เพราะกลุ่มเราตอนนั้นมีผู้ชายปนอยู่ด้วย ซึ่งพี่ชายดิฉันก็ชอบ เพราะทั้งโบว์และผักก็เป็นสาวด้วย
เราเลยนอนรวมกันทั้งหมดในที่พักริมคลองหลังเดียว ก็ไปล่องแก่งกันตอนกลางวัน กลางคืนก็มานั่งคุยกันในหลายๆเรื่อง
อนาคตจะไปไหนต่อ จะทำอะไรดี

.....จนดึก เราก็พากันเข้านอน ผู้หญิงนอนบนเตียง ส่วนสมพรกับพี่ชายดิฉัน นอนพื้น ดึกดื่น ดิฉันสะดุ้งตัวตื่นมา ปวดเบาจะเข้าห้องน้ำ พอมองไปที่พื้น

"เห้ย...สมพรไม่ได้นอนอยู่ตรงนั้น"

...ดิฉันปลุกพี่ชายดิฉัน และเพื่อนอีก2คน ถามหาสมพร ทุกคนต่างนอนไม่รู้เรื่อง บอกไม่รู้
พี่ชายดิฉันฉวยไฟฉายได้ก็ออกจากที่พัก ไปส่อง พวกดิฉันก็พยายามมองหา ไปตามที่ห้องน้ำก็ไม่มี ดูรอบๆบริเวณก็ไม่เจอ สักพักเสียงพี่ชายดิฉันดังขึ้น

"หยกๆ ทางนี้"

...พวกเราวิ่งตามเสียงพี่ชายไป เห็นพี่ชายดิฉันกำลังลากสมพร ขึ้นมา สภาพตัวคือเปียกน้ำจนชุ่ม

"พรือล่ะพี่ เจอตรงไหน"

"สงสัยมันละเมอ พี่มาเจอ มันนั่งในแก่งน้ำโผล่มาแค่ตรงหัว"

"สมพร เห้ย สมพร ตื่น สมพร" เพี๊ยะ

"หืม...อืม อ้าว "

.....ตอนนั้นสมพรลืมตาแล้วก็มองพวกเราแปลกๆค่ะ

"เพื่อน เป็นไหรอ่ะ ไซรที่ลงไปนั่งกลางแก่งพันนั้น"
"เราฝันหยก เราฝันว่าแพรมาหา มาชวนไปอยู่ด้วย ในฝันเราเดินตาม แล้วก็นั่งคุยกัน แล้วก็ตื่นเพราะแกตบนี่แหละ"
"นั่งคุยบ้าไหรละ ไปนั่งแช่น้ำกลางแก่งโผล่แค่หัว ดีพี่บ่าวเราส่องไฟเจอ เดินไปอีกหน่อยถ้าแกนั่งพันนี้ แกตายไปแล้ว"

....คนอื่นๆเอาแต่มองหน้ากันไปมา ฝ่ายสมพรก็ยังงงๆ สมพรยืนยันว่าเขาแค่ฝัน แต่ก็งงๆว่าทำไมเดินลงจากบ้านพักแล้วลงไปแช่น้ำแบบนั้น เขาจำฝันนั้นได้ว่า เขาเดินตามแพรในฝันมาไกลจนเหนื่อย เลยขอหยุดนั่งพักก่อน กะว่าเดี๋ยวจะไปต่อ ดิฉันก็เลยบอกว่า โชคดีนะที่แกหยุดนั่งเสียก่อน ไปอีกหน่อยนึง จมน้ำตาย ดิฉันเริ่มเป็นกังวล มันไม่สนุกเสียแล้วสิ หนนี้ผ้าแพร เล่นอำ และนำพาสมพร จะเอาไปอยู่เมืองผีด้วยจริงๆเสียแล้ว

.....คืนนั้นดิฉันให้พี่ชายไปนอนขวางประตูไว้ ส่วนสมพร ก็ได้พระจากคอพี่ชายไปห้อย กะว่าถ้าสมพรจะละเมอลุกเดินออกไปอีก ก็ต้องเหยียบร่างพี่ชายดิฉันไป พอเช้า เราก็พากันกลับ แต่ดิฉันขอพาสมพรไปบ้านตาที่ศรีบรรพตก่อน เพราะร้อนใจ ว่าหากสมพรกลับบ้านไปแบบนี้ สมพรคงลงไปนอนโลงแน่ๆจากรูปการ
ดิฉันพาสมพรไปพบตา เล่าให้ตาฟังถึงเรื่องที่เกิดเมื่อคืน

"อืม ผีสาวนั้นอำไอ่หลานบ่าวนี้ จะพาไปตายด้วยกัน"

"คำสาบานก็ไปถอนแล้วนะตา ยังไม่พ้นอีกเหอ"

"ไอ่หลานบ่าวมันถอนแต่คนเดียว อีกตนเค้าไม่ได้ถอนด้วยเพราะดันมาสาบานหน้าพระเลยมาถอนไม่ได้เพราะเป็นผีไปแล้ว นี้นะดันไปสาบาน ดันไปห่วงหาหนักหนา พออีกคนตายขึ้นมา คำสาบานยังอยู่ แย่ๆ"


.....ตาดิฉันแกก็ลุกขึ้นเข้าไปในห้อง ก่อนจะเอาอะไรบางอย่างมายื่นให้สมพร สมพรรับมาถือไว้ ก่อนจะถามว่า.....

"นี้ไอ่ไหรครับตา"

"ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ เอาห้อยติดตัวไว้ ไม่ใช้ค่อยมาคืน"

"แล้วผมจะไม่ต้องใช้เมื่อไหร่ครับ"

"ไปบวชเมื่อไหร่ค่อยคืน ถ้าบวช แฟนหลานบ่าวตนนั้นเค้าก็เลิกตาม "

......สมพรเลยได้ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ ใส่ไว้ในกรอบลูกกลมๆจากตาไปห้อยคอค่ะ ตาบอกว่า ผ้าแพร จะยังตามสมพรเหมือนเดิมนะ แต่จะเข้าใกล้เหมือนเดิมไม่ได้ พยายามอย่าเอาออกจากคอ และอย่าไปลอดราวตากผ้าหรือหว่างขาผู้หญิง ได้ครองผ้าเหลืองเมื่อไหร่ เค้าก็จะไปเอง แต่บวชให้ได้สักพรรษาจะชัวร์ว่าจะไม่โดนกวนอีก


....สมพรก็ไหว้ขอบคุณ ตาของดิฉัน ก่อนจะลากลับบ้านไป พอเราจบ ม.6 เราก็ติดต่อกันบ้างทางเฟสทางไลน์
จึงได้ทราบว่า สมพรไม่เรียนต่อมหาลัย แต่ไปบวช เราไม่ได้ไปงานบวชของสมพร สมพรแอบบวชเงียบๆ เป็นการบวชเณรเพราะอายุยังไม่ถึงพระ เรามีโอกาสแวะไปหาท่านสมพร ที่วัดๆหนึ่งทางไปลำปำ ได้เจอกัน ท่านก็ดูอิ่มเอิบดี
ท่านบอก ท่านสบายใจแล้ว ท่านเห็นผ้าแพร มายืนร้องไห้อยู่นอกกำแพงวัด ที่ข้างกุฏิของท่านในนิมิต
พอท่านตื่นมา ท่านสมพรก็กรวดน้ำให้ผ้าแพร จนตอนนี้ท่านก็ไม่ได้เจอผ้าแพรมากวนอีก

"โยม เพื่อน เณรฝากของอันนี้กลับไปให้ตาของโยมเพื่อนด้วยนะ เณรไม่ต้องใช้แล้ว"

"แล้วเณรจะบวชไปอีกนานแค่ไหนคะ"

"อืม....เณรก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เณรรู้สึกเป็นสุขดีกับความสงบที่วัดนี้ อยู่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวให้ญาติโยมที่ขยันเอามาปล่อยไปเรื่อย เรื่องของอนาคตก็ยังไม่รู้เหมือนกัน"

.....ดิฉันจากมา และทุกวันนี้ ท่านสมพรก็ยังบวชอยู่ค่ะ ดิฉันเอาเครื่องรางของตาไปคืน พอตาได้รับไป ตาก็พึมพำ...

"เอ้อ ดีจริง ที่หลานบ่าวนั้นไม่เป็นไร ยังตกใจว่าหยิบให้ผิด จะหยิบยันต์ท้าวเวสสุวรรณให้ไปกันผี ดันตาร้าย หยิบชายผ้าถุงแม่ไปให้"

*0*....ตานะตา เล่นชายผ้าถุงของทวดไปให้ท่านสมพรห้อยคอเสียตั้งนาน เวรกรรมจริงๆค่ะ จำไว้นะคะ
คำสัญญา สาบานแนวๆที่ดิฉันกล่าวมา อย่าได้ไปพาใครสัญญาสาบาน เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าใครจะตายก่อนกัน


มันคือโซ่ค่ะ โซ่ที่ผูกผีกับคนไว้ด้วยกัน หรือถ้าคุณชอบก็ไม่ว่ากันค่ะ สวัสดี

ขอบคุณเรื่องเล่าสยองขวัญ จาก :: pantip.com


คำสัญญา.....ปากผี ถ้าไม่อยากเจอดี อย่าสัญญาตอนเป็น

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์