คืนอำลา

'วิมลวรรณ' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงพยาบาล

ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มาก่อนเลย แม้ว่าจะชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีนักหนาเพราะสนุกสนานตื่นเต้น ได้ลุ้นระทึกว่าผีจะหลอกยังไง? แบบไหน? มีการใช้สองมือแหกอกตัวเองจนเห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่งหรือเปล่า?

เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ประสบการณ์ก็สอนให้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของคนเรามีทั้งเรื่องตื่นเต้นและน่ากลัวไม่แพ้เรื่อง ผี ทั้งเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการงาน...รวมทั้งสถานการณ์บ้านเมืองที่ดูอึมครึมตึงเครียดอยู่ตลอด แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องผีหรือกลัวผีอีกล่ะคะ?

แต่แล้วดิฉันเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์สยองขวัญอย่างจังๆ ที่สุดค่ะ!

สาเหตุมาจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อป้าช้อย พี่สาว ของแม่ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 60 เศษที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้านแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี่เอง

ป้าช้อยเป็นสาวโสด อยู่กับเรามาตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ๆ ดิฉันรักป้าช้อยเหมือนรักแม่คนหนึ่ง พอแก่ตัวก็เจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งโรคเบาหวาน ความดันสูงและโรคหัวใจ ต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลบ่อยๆ นับวันก็ยิ่งทนทุกข์ทรมานมากขึ้นทุกที

ดิฉันกับพี่น้องช่วยดูแลอย่างเต็มที่ จนในที่สุดร่างกายของป้าช้อยก็ทนทานต่อไปไม่ไหว...คืนหนึ่งเราเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มาถึงบ้าน โทรศัพท์จากร.พ.ก็บอกข่าวว่าป้าช้อยสิ้นลมหายใจเสียแล้ว! ดิฉันกับน้องชายต้องออกมาหาแท็กซี่ ย้อนกลับไปร.พ.อีกครั้ง

ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มเศษ บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ แสงไฟก็ดูเยือกเย็นเต็มที ประตูใหญ่เข้าตึกปิดแล้ว เราต้องอ้อมเข้าไปด้านข้างแล้วเดินขึ้นชั้น 2 กดลิฟต์ไปถึงชั้น 7 ซึ่งเป็นห้องคนไข้รวม...

กลิ่นยา กลิ่นเลือด และกลิ่นอายของความตายราวกับอวลซ่านอยู่ในห้องนั้นโดยไม่มีวันจางหาย

ร่างบอบบางของป้าช้อยนอนสงบนิ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนนอนหลับ แต่ใบหน้าซีดเซียวเกือบจะเขียวคล้ำ นัยน์ตายุบลงไปในเบ้า...เราพนมมือไหว้ศพขออโหสิกรรม กับหวังว่าวิญญาณของป้าช้อยจะไปสู่สุคติในภพหน้า

ดิฉันรู้สึกแสบร้อนเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าจะทำใจไว้แล้วก็ตาม นึกถึงภาพในอดีตที่ยังจดจำได้แม่นยำ...ต่อไปนี้เราจะไม่มีป้าช้อยอีกแล้ว!

พยาบาลเข้ามาพูดถึงมรณบัตรที่เราต้องแจ้งให้เขตทราบภายใน 24 ชั่วโมง กับขออนุญาตผ่าตัดศพตามระเบียบ ดิฉันก็เซ็นให้แล้วถามถึงการรับศพ ได้ความว่าแพทย์จะผ่าตัดตอนเช้า เวลาบ่ายๆ ก็จะติดต่อรับศพไปบำเพ็ญกุศลได้

ราว 5 ทุ่มเศษ เราก็ลงจากตึกกลับทางเก่า!

ระหว่างทางก็ปรึกษากันเรื่องติดต่อวัดใกล้บ้านเพื่อจองศาลาสวดศพ...ทางร.พ.มีบริการทั้งโลงศพ ฉีดฟอร์มาลิน และรถบรรทุกศพไปส่งที่วัดด้วย แม้จะรู้ว่าทางวัดก็มีบริการแบบเดียวกัน ส่วนจะให้ใครจัดการก็แล้วแต่เจ้าภาพเอง ดิฉันคิดว่าให้ทางร.พ.จัดการทั้งหมด จะถูกจะแพงกว่านิดหน่อยก็ไม่เป็นไร คิดว่าตอบแทนบุญคุณป้าช้อยเป็นครั้งสุดท้าย...

ขณะนั้นเราเดินบนฟุตปาธหน้าตึกที่จะมุ่งไปสู่ประตูใหญ่ เห็นแสงไฟรถแล่นผ่านไปมา อากาศยามดึกเยือกเย็น รอบๆ ตัวเราว่างเปล่าอยู่ในแสง ไฟเหลืองรัวน่าใจหาย...เสียงสวดมนต์ดังแว่วมา กระทบหูทันใด!

แม้จะอยู่ใกล้วัด แต่พระที่ไหนจะมาสวดมนต์ยามดึกดื่นเกือบสองยามล่ะคะ? ฟังแล้วเหมือนเสียงสวดพระอภิธรรมหน้าศพอีกต่างหาก! นึกได้ก็ชะงักกึก น้องชายพลอยหยุดเดินไปด้วย พึมพำเสียงเครือๆ ว่า พระที่ไหนมาสวดมนต์ตอนนี้?

หรือว่า...

เสียงขาดหายไป ดิฉันหันมองก็เห็นน้องเบิกตา อ้าปากค้าง ครั้นมองตามไปก็รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย แล่นซ่าลงตามไขสันหลัง ขนลุกซ่าเมื่อเห็นคนไข้กลุ่มหนึ่งมี 3 คนกำลังเดินช้าๆ อยู่ตรงหน้าเรา ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว!

คุณพระช่วย! ร่างในชุดคนไข้กลุ่มนั้นเป็นผู้หญิงล้วน เท้าของทุกคนลอยสูงกว่าพื้นราวคืบเศษ...ทันใดนั้นคนกลางร่างผอมสูงก็ค่อยๆ หันมามองเราอย่างเชื่องช้า

'ป้าช้อย...' เสียงน้องชายคราง ส่วนดิฉันเองก็รู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายจะเป็นลมไปในบัดดล

ป้าช้อยจริงๆ ค่ะที่หันมายิ้มเศร้าๆ ปากเผยอเหมือนจะกล่าวคำอำลา...ก่อนที่ร่างทั้งสาม จะเลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น หนาวสะท้านจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!

คืนอำลา

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์