ตะเกียงพี่เพิก

'เห่าไฟ' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปตีกบที่หนองแค

สมัยเด็กผมอยู่หนองแค สระบุรี พ่อแม่ค้าขายอยู่ในตลาดใกล้ๆ บ้าน พอถึงหน้าฝนคืนไหนฝนตก พวกเราก็จะออกไปตีกบกัน ได้มากินมาขายสบายแฮ แต่เมื่อผมอายุสิบกว่าขวบพ่อก็ส่งมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่วัดหน้าตลาดเทเวศร์กับหลวงลุง ปิดเทอมทีก็กลับบ้านที

ครั้งนั้นโรงเรียนปิดเทอมเดือนสิงหาคมกับธันวาคม ครั้งละครึ่งเดือน เรียกว่าเทอมต้นกับเทอมกลาง มีเหตุผลว่าให้เด็กๆ กลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา หรือช่วยเลี้ยงน้องอยู่กับบ้านก็ยังดี เพราะฤดูฝนเป็นหน้าทำนา พอถึงฤดูหนาวก็ได้เวลาเกี่ยวข้าวแล้ว

ผมไปเจอะเจอประสบการณ์สุดโหดตอนปิดเทอมต้นนั่นเอง!

ฤดูฝนก็ดีไปอย่าง ไม้ไร่เขียวชอุ่มพอๆ กับข้าวกล้าในนา อากาศเย็นสบายชวนนอน ยกเว้นวันไหนฝนตกตอนบ่ายหรือเย็น พอตกค่ำกบก็ส่งเสียงร้องโอ๊บๆ เหมือนจะยั่วเย้าชักชวนให้เราไปทำบาป... ตอนนั้นเพลงพม่าแทงกบกำลังฮิตพอดี

'ค่ำคืนเดือนหงาย พม่าขี่ควายจะออกไปแทงกบ'

เพลงเขาว่ายังงั้น แต่พวกเราไม่ต้องขี่วัวขี่ควายหรอกครับ ฉวยตะข้อง ไฟฉาย กับท่อนไม้กำลังเหมาะๆ มือ ออกไปล่าเจ้ากบตัวโตๆ เนื้อหวานกันได้แล้ว

คืนนั้นก็เช่นกัน... ผมเพิ่งกลับบ้านได้วันเดียว ฝนเทลงมาตอนเย็นเหมือนฟ้ารั่ว พอค่ำหน่อยก็มีเพื่อนๆ มาตะโกนหน้าบ้าน...ไปตีกบกันโว้ย!

ตอนนั้นผมอายุย่าง 15 ใจคอกำลังคึก คว้าอุปกรณ์ตีกบได้ก็โดดลงไปสมทบกับเพื่อนสองคน เจ้าเต้ถือไม้ยาวแขวนตะเกียงกระป๋องนม เจ้าจ๊อดกับผมใช้ไฟฉาย 3 ท่อน ไม้คนละอัน...ที่ขาดไม่ได้คือข้องใส่กบสะพายไหล่คนละใบ

บอกตรงๆ ว่าตอนที่เดินออกทุ่งนาไปด้วยกันผมสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าสังหรณ์ถึงอะไร?

แหงนมองท้องฟ้าสีดำ ไม่มีเดือนหงาย นอกจากดาวผุดสะพรั่ง

เสียงร้องโอ๊บๆ ดังอยู่รอบตัว เราแยกย้ายกันไปพลางก้มหน้าก้มตามองหาเหยื่อ เสียงหวดไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงแอ๊วๆ เหมือนเด็กอ่อน...น่าสงสารเหมือนกัน แต่ทำใจว่ามันคืออาหารของเรา สัตว์ใหญ่ต้องกินสัตว์เล็กเป็นธรรมดานะครับ

จู่ๆ สรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบ ราวกับโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง

ดาวจ้องมองเยือกเย็น สายลมที่เคยพัดโชยกลับหยุดนิ่ง เสียงกบร้องที่นั่นที่นี่ก็เงียบหายไปแต่อากาศดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมจนผมขนลุก รู้สึกเอะใจจนเหลียวมองไปรอบๆ ตัว แต่ในความมืดสลัวกลางทุ่งนาก็มองไม่เห็นอะไรเลย

มีแสงไฟวูบวาบวอมแวมขึ้นที่นั่นที่นี่พอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ผิดสังเกตตรงที่มองปุ๊บมันก็ดับปั๊บ จู่ๆ ก็ไปโผล่ที่อื่น ยอดไม้ตามหัวคันนาเริ่มสะบัดใบซู่ซ่า ตอนแรกเล่นเอาเกือบสะดุ้ง... ไม่มีลมพัดซักนิด ไหงมันสะบัดขึ้นมาได้ล่ะ?

ทุ่งนาหลายๆ จังหวัดดูจะโล่งกว้างไปหมด ผิดกับทุ่งนาบ้านผม ไม่ว่าหนองแค หินกอง เขาขาด มักจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่ตามหัวคันนาทั่วไป ทั้งสะตือ มะเกลือ มะม่วงป่า โรงนาเล็กๆ ก็มักจะปลูกอยู่ใกล้ๆ ต้นไม้นั่นแหละ

ว่าแต่เจ้าเต้กับเจ้าจ๊อดหายไปไหนล่ะ?

ทันใดนั้นเอง ผมเหลือบเห็นแสงไฟวอมแวมอยู่กับที่ เพ่งมองให้แน่ใจก็ยังเห็นอยู่ตามเดิม... เจ้าเต้แน่แล้ว เพราะมันใช้ตะเกียงกระป๋องนมแขวนไม้ อีกด้านเป็นปลาย แหลมๆ สำหรับปักดิน จะได้ใช้สองมือตีกบให้ถนัด

'เต้โว้ย วู้ ...' ผมตะโกนพลางย่ำดินแฉะๆ เข้าไปหา ถึงไม่ได้ยินเสียงตอบก็ไม่เป็นไร เพราะใกล้ดวงไฟเข้าไปทุกที ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวเงียบเชียบ น่าวังเวงใจสิ้นดี

ผิดคาด! แทนที่จะเป็นไอ้เต้กลับเป็นพี่เพิก คนในหมู่บ้านเดียวกัน แกใช้ตะเกียงผูกปลายไม้แบบไอ้เต้กำลังจ้องมองผมยิ้มๆ ถามว่าได้กบเยอะมั้ย? ผมบอกว่าได้เกือบครึ่งตะข้องแล้ว... รู้สึกอากาศเยือกเย็นจนหนาวสะท้าน

ฟ้าร้องครืนก่อนจะคำรามแปลบปลาบ ตามเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงสนั่นจนหูอื้อ

...ไอ้เต้กับไอ้จ๊อดร้องเรียกผม ครั้นหันไปมองเห็นมันย่ำสวบสาบมาถามว่า ทำไมถึงถ่อมาที่นี่ ผมก็บอกว่ามาเจอพี่เพิกนี่ไง

'เจอใครนะ?' ไอ้เต้ตาเหลือก 'พี่เพิกโดนฟ้าผ่าตายไปตั้งเกือบเดือนแล้ว'

ผมอดหัวเราะไม่ได้ หันขวับไปมองพี่เพิกก็พบแต่ความว่างเปล่า รอบๆ ตัวมีแต่ความมืดสลัว เพื่อนทั้งคู่รีบชวนผมกลับบ้านทันที... เมื่อรู้แน่ว่าพี่เพิกตายไปแล้วจริงๆ ผมก็เลิกตีกบเด็ดขาดมาจนถึงทุกวันนี้... ขนหัวลุกน่ะซีครับ!

ตะเกียงพี่เพิก

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์