วิญญาณเมืองโบราณ


วิญญาณเมืองโบราณ

"ชาวบ้านนำมาลัยมาสักการะ"




มีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยผมเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นมัธยม ทางโรงเรียนจัดให้มีการเข้าค่ายลูกเสือที่จังหวัดสิงห์บุรี หลังจากรถเดินทางถึงที่พักซึ่งเป็นค่ายลูกเสือผมและเพื่อน ๆ ก็ได้แยกย้ายกันไปกางเต้นท์เป็นที่สนุกสนานกันมาก ๆ ที่จะได้พบกับวิถีชีวิตกลางแจ้ง การเข้าค่ายฝึกลูกเสือเป็นความใฝ่ฝันของผม ผมชอบการเรียนลูกเสือมาก เพราะทำให้ชีวิตมีระเบียบวินัย ที่สำคัญคือมีเล่นรอบกองไฟในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะกลับบ้าน พร้อมกับปิดการฝึกลูกเสือ ที่สำคัญผมมักจะได้แสดงโชว์เพื่อน ๆ ด้วย

การเข้าค่ายฝึกในครั้งนี้ผมได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างห้องเรียนกัน ชื่อนิวัต เพื่อนใหม่ของผมคนนี้เป็นคนร่าเริงสนุกสนานครื้นเครง และซุกซนอยากรู้อยากเห็นไปหมดซึ่งนิสัยเช่นนี้ผมเองก็มีอยู่เหมือนกันและเป็นเอามาก ๆ ด้วย ค่ายฝึกนี้ครูบอกว่าเป็นเมืองโบราณเก่าแก่มาก

ปัจจุบันประกาศเป็นที่ของกรมศิลปากร มีการขุดค้นเพื่อศึกษาของเหล่านักศึกษาเป็นประจำ ซากเมืองโบราณยังคงมีให้เห็นบ้างเช่นอิฐแดงก้อนใหญ่ ๆและเศษกระเบื้อง แต่ที่น่าตื่นเต้นก็คือ ศาลเก่าแก่ มีพวกมาลัยที่ชาวบ้านนำมาสักการะ และแก้บนกันมากมาย



"ข้างหน้ามีแสงไฟ"




คืนแรกของการฝึก ผม นิวัตและหมู่ของผมจำเป็นจะต้องไปฝึกให้ครบทุกสถานีที่ครูฝึกจัดไว้ให้ตั้งแต่การไต่เชือก โหนเชือก ข้ามกำแพง หลังจากผ่านด่านต่าง ๆ มาแล้วหลายด่าน เจ้านิวัตก็ได้นำลูกหมู่เคลื่อนไป ณ สถานีถัดไป พวกเรามีเพียงไฟฉายกระบอก ไม่ใหญ่นัก ซึ่งเจ้านิวัติเป็นคนถือเดินนำทางไป

"เฮ้ยนิวัติ เราหลงทางหรือเปล่าวะเดินมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นถึงสักทีเลยวะ " ผมถามเจ้านิวัตหลังจากเดินมาไกลโข จนเพื่อน ๆ ในหมู่เริ่มเหนื่อยกัน

"ไม่น่าจะผิดวะ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ มันมืด ๆ ยังงี้ ไม่รู้จักทางเสียด้วย" หัวหน้าหมู่นิวัตกล่าวแบบหอบ ๆ

"เฮ้ยข้างหน้ามีแสงไฟวะ สงสัยจะใช่แล้ว เพื่อนลูกหมู่อีกคนเอ่ยขึ้น"

"ใช่จริง ๆ ด้วย ไปพวกเราไปกัน" ผมรีบออกคำสั่งแทนหัวหน้าหมู่นิวัตพร้อม ออกเดินนำหน้าไปก่อนเลย



"เฮ้ย......งู งูบนต้นตาล"




หลังจากพวกเราเดินไปเรื่อยตามแสงไฟเรื่อย ๆ จนเริ่มอ่อนหล้า ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถึงแสงไฟข้างหน้าสักกะที ยิ่งเดินก็เหมือนจะยิ่งห่างไกลออกไป

"เฮ้ยมันยังไงกันวะ นี่เดินมากันตั้งนานแล้วทำไมมันไม่ถึงสักทีวะ" เจ้านิวัตเอ่ย เหมือนจะท้อแท้

"จริงด้วยวะ เมื่อกี้เห็นอยู่ว่าไม่ไกล มันอาจจะหลอกตากันก็ได้วะ มีแต่ป่าทั้งนั้นเลย"

ขณะที่ผม เจ้านิวัตและเพื่อน ๆ กำลังเดินทอดน่องอยู่นั้นฉับพลันก็ได้ยินเสียง เจ้านิวัตพูดด้วยเสียงสั่นๆ อย่างตกใจสุดขีด

"งะๆๆๆๆ งูๆๆๆๆๆ โว้ย."

"ไหนวะ." ผมรีบถามด้วยความสงสัย

"โน่นๆๆๆๆ ไง บนต้นตาล"



"งู....ตัวนั้น ตาสีแดงกล่ำ"




คุณพระช่วย ทั้งผมและเพื่อน ๆ ทุกคนถึงกับตกตะลึงตาค้าง เพราะสิ่งที่เรา เห็นมันไม่ใช่งูธรรมดา แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นนั้น กลับเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่แผ่หัวกว้าง นัยตาสีแดงกร่ำอยู่บนยอดต้นตาล ลำตัวยาวใหญ่พันรอบต้นตาลอยู่ แลบลิ้นสีแดง น่าสยดสยองจริง ๆ หัวใจผมแทบหยุดเต้นให้ได้ เกิดมาไม่เคยพบเคยเจออะไรมันจะยิ่งใหญ่และน่ากลัวขนาดนี้

"ผีหลอกโว้ยๆๆๆ ผีงูยักษ์ๆๆๆ" ผมอุทานร้องจนเสียงหลง พร้อมกับวิ่งแบบไม่คิดชีวิต ตัวใครก็ตัวมันแล้วงานนี้ ไม่มีการเหลียวหลังกลับไปดูว่าใครเป็นใคร

รุ่งเช้าครูฝึกออกตามหาพวกเราด้วยความเป็นห่วง หลังจากพวกเราหายไปทั้งคืน ครูฝึกช่วยกันหาอยู่ทั้งคืนก็ไม่พบจนอ่อนใจ นึกว่าพวกเราหนีการฝึกไปเที่ยวที่อื่น จนรุ่งเช้ามีชาวบ้านไปหาของป่าพบ ผม เจ้านิวัตและเพื่อน นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ที่เมืองโบราณใกล้ ๆ กับศาลเก่าแก่ที่ผมและเจ้านิวัตไปดูเมื่อวานตอนเย็นนั่นเอง หลังจากฟื้นได้สติ ผม เจ้านิวัต และเพื่อน ๆ ก็ได้แต่เพ้อว่างูผี งูยักษ์ จนต้องพาไปส่งโรงพยาบาลหลายวันถัดมาจึงค่อยดีขึ้น ประสบการณ์เข้าค่ายฝึกลูกเสือครั้งนั้น ทำให้ผม และเจ้านิวัต เข็ดขยาดวิชาลูกเสือไปเลยตลอดชีวิต ฝึกลูกเสือคราวหน้า ขอเป็นที่อื่นดีกว่า ถ้ามีเมืองโบราณ มีผีงูด้วย ไม่เอาอีกแล้ว เข็ดจริงๆ กับการวิ่งป่าราบ






แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องผี


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์