เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!


ละคร กำไลมาศ บทประพันธ์ โดยนักเขียนดัง พงศกร กำลัง ออกอากาศ เรียกความสยองขวัญ และเรตติ้งจากแฟนละครช่อง 3 อยู่ในขณะนี้ แต่คุณเชื่อหรือไม่? ว่า กำไลมาศ มีอยู่จริง! และมีผู้ครอบครอง'ตัวจริง' ถูกจารึกเรื่องราวไว้ในหน้าประวัติศาตร์ ด้วย ซึ่งเรื่องราวความรักของ'ท่านเจ้าของ กำไลมาศ' ตัวจริงนี้ก็เศร้า และ ซึ้ง ไม่แพ้ในละครเลยทีเดียว ไปลองอ่านเรื่องราวของ ‘เจ้าของ กำไลมาศ' ตัวจริงกันค่ะ

‘เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์' เจ้าของ กำไลมาศ กำไลตัวแทนความรักของ'พระพุทธเจ้าหลวง'
กำไลมาศ เป็นกำไลที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมที่ทรงโปรดและรักมาก

กำไลทองนั้นเป็นรูปตะปูโบราณสองตัวกอดไขว้กันอยู่

ถ้ามองตรงๆเป็นอักษร S (มาจากชื่อย่อของเจ้าจอมสดับ)

หากพลิกข้อมือเพียงเล็กน้อยมองอีกด้านจะกลับเป็น

ตัวอักษร c (จุฬาลงกรณ์)
สิ่งที่ทำให้กำไลวงนี้มีชื่อเสียงที่สุดไม่ใช่ราคาหรือการออกแบบ

แต่เป็นตัวอักษรพระราชนิพนธ์

ที่จารึกไว้บนสันกำไลทุกด้าน เป็นกลอนมีเนื้อความว่า

.........
กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นย่อมยืนสี
เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเป็นเสี่ยงทาย
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรับไว้อย่าให้หาย
แม้นรักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย


เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!


...........

ด้วยความที่เป็นที่โปรดปราน ได้รับพระราชทานเครื่องเพชร

และของมีค่าจำนวนมาก เจ้าจอมสดับจึงเป็นที่ริษยาของเจ้าจอมอื่นๆ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต

เจ้าจอมสดับมีความทุกข์ และเศร้าโศกอย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า

.........

"ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อหรือชีวิต

ถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้

ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า

บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้น

พันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก"
หลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านได้ถวายคืนเครื่องเพชรทั้งหลาย

เหลือเพียงกำไลมาศซึ่งเจ้าจอมสดับได้สวมติดข้อมือตั้งแต่วันแรกที่ทรงสวม

ให้ด้วยพระองค์เอง จนกระทั่งถึงวันอนิจกรรมเป็นเวลาถึง 73 ปี

ทายาทได้ถวายคืนพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เก็บไว้ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ

สถานที่คุณจอมสดับได้เคยถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาท


เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!

ฉันมักสงสัยอยู่เสมอว่า
รักแท้มีจริงหรือเปล่า
คำตอบของฉันยังล่องลอยอยู่ในอากาศ
แต่ฟังซิได้ยินไหม
บทกลอนนั้นล่องลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรับไว้อย่าให้หาย
แม้นรักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย ต่อเมื่อวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!


เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!

 ประวัติ

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ (๖ มีนาคม ๒๔๓๕- ๓ มิถุนายน ๒๕๒๖) เป็นเจ้าจอมคนสุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้ร้องเพลงนางร้องไห้ และเจ้าจอมคนสุดท้ายของราชวงศ์จักรีที่ยังดำรงชีพและเสียชีวิตในยุคปัจจุบันนี้

วัยเยาว์

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์ สดับ ลดาวัลย์ เกิดเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นธิดาใน หม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ซึ่งเป็นพระโอรสใน กรมหมื่นภูมินทรภักดี พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อท่านมีอายุได้ ๑๑ ปี หม่อมยายได้พาท่านไปถวายตัวเป็นข้าหลวงในตำหนัก พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ซึ่งพระองค์ได้ทรงอบรมเลี้ยงดูหม่อมราชวงศ์สดับในฐานะพระญาติ และยังโปรดให้เรียนหนังสือทั้ง ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ รวมทั้งหัดงานฝีมือ ตลอดจนการอาหารคาวหวานจนวชาญ นอกจากความอัฉริยภาพและความงามแล้ว ความมีเสียงอันไพเราะของท่าน ยังเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นด้วย ดังใน บทพระราชนิพนธ์เงาะป่า ว่า

 "แม่เสียงเพราะเอย น้ำเสียงเจ้าเสนาะ เหมือนดังใจพี่จะขาด เจ้าร้องลำนำ ยิ่งซ้ำพิสวาท พี่ไม่วายหมายมาด รักเจ้าเสียงเพราะเอย"

 ถวายตัว

เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๙ หม่อมราชวงศ์สดับได้เข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ท่านได้รับพระราชทาน "กำไลมาศ" จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นกำไลทองคำแท้จากบางสะพาน หนักสี่บาท ทำเป็นรูปตาปูโบราณสองดอกไขว้กัน ปลายตาปูเป็นดอกเดียวกัน มีตัวอักษรซึ่งเป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสลักไว้บริเวณด้านบนของกำไลว่า

 กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นย่อมยืนสี

เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเป็นเสี่ยงทาย
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย
แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย

วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ท่านมีความสุขมากที่สุด และทั้งตลอดชีวิตของท่าน เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับมิได้ถอดออกจากข้อมือเลย จวบจนชีวิตท่านหาไม่แล้ว หม่อมหลวงพูนแสง สูตะบุตร ผู้เป็นหลานสาวจึงเป็นผู้ที่ถอดออกให้ และได้ถวาย "กำไลมาศ" แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในงานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับนั้นเอง

 เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์

 ร. ๕ เสด็จประพาสยุโรป

วันที่หม่อมราชวงศ์ได้เล่าว่าเป็นวันที่ทุกข์ที่สุดก็คือ วันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ เนื่องจากก่อนรัชกาลที่ ๕ จะเสด็จพระราชดำเนินนั้น ทรงมีพระราชดำริที่จะให้เจ้าจอมสดับตามเสด็จไปยุโรปด้วย ในฐานะข้าหลวง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตตินารี ถึงกับสอนภาษาอังกฤษพระราขทานเองก่อนเสวยพระกระยาหารทุกคืน แต่มีเหตุขัดข้อง จึงมิอาจเป็นไปตามพระราชดำรินั้นได้

 แม้กระนั้น พระองค์ก็ได้มีพระราชหัตเลขามาถึงทุกสัปดาห์ เมื่อได้รับลายพระราชหัตถเลขาแล้ว ท่านก็แสดงอาการดีใจออกมาทุกครั้ง แต่อาการนั้นทำให้เกิดความรู้สึกริษยาจากคนรอบข้างโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ทำให้พระวิมาดาเธอฯ ในฐานะผู้ปกครองจึงทรงต้องเข้มงวดกวดขันกิริยาอาการ ตลอดไปถึงข้อความในจดหมาย ด้วยเกรงว่าจะเขียนกราบทูลในเรื่องไม่สมควรไป

 ครั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับถึงพระนคร ก็ทรงซื้อเครื่องเพชรมาพระราชทาน โปรดให้แต่งเครื่องเพชรแล้วให้ช่างถ่ายรูปชาวต่างชาติมาถ่ายรูป โดยทรงพระกรุณาจัดท่าพระราชทาน และโปรดพระราชทานตู้ที่ระลึก ยังทรงจัดของตั้งแต่งในตู้นั้นอีกด้วย อีกทั้งยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาท่านขึ้นเป็นพระสนมเอก ฮันเป็นตำแหน่งที่แม้เจ้าจอมมารดาบางท่านรับราชการมาช้านานยังไม่ได้รับพระราชทาน แต่ท่านซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวรุ่น และเพิ่งเข้ามารับราชการไม่นานนักกลับได้รับพระเมตตาไว้ในตำแหน่งที่สูงถึงเพียงนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความริษยาจากคนรอบข้าง ด้วยวัยเพียง ๑๗ ปี ท่านจึงได้เล่าถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า

 "...เหลียวไปพบแต่ศตรู คุณจอมนั้นส่อเสียดว่าอย่างนั้น คุณจอมนี้ว่าอย่างนี้ ตรองดูทีหรือข้าพเจ้าจะย่อยยับแค่ไหน"

ด้วยความอายุยังน้อย ขาคความยั้งคิด ท่านจึงตัดสินใจทำลายชีวิตตนเองด้วยการดื่ม น้ำยาล้างรูป

ปลายรัชกาล

ครั้นเมื่อท่านมีอายุได้ ๒๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ท่านมีความทุกข์ และเศร้าโศกอย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า

 "..ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อ หรือชีวิตถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ ...คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้นแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก..."

 ครั้งสุดท้ายที่เจ้าจอมสดับได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณคือ การเป็นต้นเสียงนางร้องไห้หน้าพระบรมศพ

 บทเพลง นางร้องไห้ มีอยู่ทั้งหมด ๕ บท ดังนี้

 ๑ พระร่มโพธิ์ทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย

พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
๒ พระเสด็จไปสู่สวรรค์ชั้นใด ละข้าพระบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
๓ พระยอดฟ้า พระสุเมรุทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
๔ พระเสด็จผ่านพิภพแห่งใด ข้าพระบาทจะตามเสด็จไป พระพุทธเจ้าข้าเอย
๕ พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย


เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!

เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ในวัยชรา

ในปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตนั้น เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับมีอายุเพียง ๒๐ ปี ทำให้ท่านเป็นที่จับตามองจากคนรอบข้างว่าจะสามารถครองตัวครองใจเป็นหม้ายได้ต่อไปตลอดหรือไม

หลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านได้ถวายคืนเครื่องเพชรทั้งหลายที่ได้รับพระราชทานมาแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯจนหมดสิ้น สมเด็จฯก็ได้ทรงรับไว้แล้วโปรดเกล้าฯให้นำไปขายที่ยุโรป แล้วนำเงินมาสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทั้งสิ้น นอกจากนั้นท่านยังหันไปยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอีกด้วย

จนเมื่อท่านเจ้าจอมนั้นมีวัยชราแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ให้ท่านกลับเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ในช่วงเวลานี้นี่เอง ที่ท่านได้มีโอกาสทำคุณประโยชน์อีกครั้ง โดยการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้แก่ชนรุ่นหลัง เช่น

วิธีถักตาชุนหรือ ถักสไบ ที่เรียกกันว่า กรองทอง
วิธีทำน้ำอบ น้ำปรุง
ยาดมส้มโอมือ ฯลฯ

ตลอดจนถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในพระราชสำนักเมื่อครั้งกระนั้น ให้ชนรุ่นหลังได้ฟังและจดบันทึกไว้ นับเป็นประโยชน์มาก เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ สิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ เจ้าของ ‘กำไลมาศ’ ตัวจริง!

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์