อาถรรพ์ “ดงละคร” มโหรีปี่พาทย์ ดังมาจากซากเมืองร้าง


อาถรรพ์ “ดงละคร” มโหรีปี่พาทย์ ดังมาจากซากเมืองร้าง


"เมืองโบราณดงละคร" หรือ "ดงละคร" ตั้งอยู่ที่ตำบลดงละคร อำเภอเมือง ห่างจากตัวเมืองนครนายกประมาณสิบสองกิโลเมตร
ชื่อดงละครนี้มาจากตำนานพื้นบ้านบอกเล่าว่า ในคืนวันพระหรือวันเพ็ญเต็มดวง ชาวบ้านจะได้ยินเสียงปี่พาทย์แว่วมาตามสายลม แต่หาที่มาของเสียงดนตรีไม่ได้ ชาวบ้านจึงเรียกเมืองแห่งนี้ว่าเมืองดงละคร คือดงที่มีเสียงละคร หรือเมืองลับแล

ที่ภูเขาหรือที่ชายป่าตีนเขาในวันพระ ช่วงเวลาค่ำคืนจะได้ยินเสียงผู้คน หญิง ชาย เด็กเล็ก อีกทั้งมโหรีปี่แตรก้องสนั่นป่า กลิ่นดอกไม้ลอยลมมาแต่ไกล เหล่านางฟ้าหรือผีบังบด เก็บดอกไม้บูชาพระ
คุณคิดว่า น่าจะเป็นความจริงหรือไม่ วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ชาวบ้านต่างรู้กันทั่วว่าดงละครเป็นเมืองลับแล เป็นถิ่นของผู้มีกายทิพย์ประเภทหนึ่ง มีลักษณะท่าทางการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนกันกับชาวโลกมนุษย์เรา และอาศัยอยู่ในโลกด้วยกันกับพวกเรา เพียงแต่อยู่ในอีกมิติหนึ่งเท่านั้น
การดำเนินชีวิตของพวกเขาก็คล้ายๆ กับมนุษย์ มีทั้งการทำไร่ ไถนา ทำการเกษตร ทำงานหัตถกรรม การเลี้ยงสัตว์ แต่ว่าอาการที่พวกเขาทำก็ทำไปอย่างงั้นๆ ทำไปเพราะแรงแห่งกรรม ทำอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้ผลผลิตอะไรจากการกระทำ อย่างการเลี้ยงวัวก็เลี้ยงอยู่อย่างนั้น เลี้ยงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรม หมดกรรมเมื่อไหร่ก็ได้เลิกเลี้ยงวัว

นี่คือชีวิตความเป็นอยู่ในโลกของพวกบังบด ความเป็นอยู่ไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลง คืออยู่กันอย่างนั้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ยังดีกว่าเปรตหรืออสูรกาย แต่ก็ไม่ดีเท่ากับพวกเทวดาที่สถิตตามต้นไม้ ดงละครทุกคืนวันพระจะมีเสียงมโหรี ปี่พาทย์ บรรเลง คิดว่าในวันพระประตูหรือทางเชื่อมระหว่างมิติน่าจะเปิดออก เลยทำให้สองภพมาเจอกันได้

ประสบการณ์ลี้ลับจากเมืองดงละคร

ในจังหวัดนครนายก มีสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง เป็นเมืองโบราณ มีซากเมืองเป็นป่ารกชัฏ มีการปรับปรุงบางส่วนจึงทำให้น่ากลัวน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต มีการขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรว่า "เมืองดงละคร"
สถานที่แห่งนี้ เวลาเดือนเพ็ญจะมีเสียงมโหรีบรรเลงเพลงโบราณแว่วมา เหมือนมีการแสดงละครใน มีผู้คนพยายามไปสืบเสาะดูว่า เพลงลอยมาจากที่ใด แต่ก็ไม่พบอะไร การมีเพลงมโหรีแว่วมานี้เอง ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ดงละคร"

สามเดือนที่ผ่านมา ผมสนใจเรื่องนี้ จึงขับรถยนต์ลุยเข้าไปกลางดึก เข้าไปท่ามกลางป่ารกชัฏที่เชื่อว่ามีวิญญาณอยู่ ขับรถเข้าไปถึงใจกลางป่าอันน่ากลัว เวลาประมาณสามทุ่ม ข้างทางมีแต่ความมืดสนิท คนที่ประสาทอ่อนคงไม่กล้าเข้าไปแน่ๆ พอถึงใจกลางพื้นที่ที่น่ากลัว ก็ดับเครื่อง ปิดไฟดับสนิท มองเห็นแต่ความมืด ก็ทำจิตว่า

"ถ้าในบริเวณนี้มีวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ขอให้ออกมาคุยกัน เรายินดีที่จะช่วยพวกท่าน"

อึดใจใหญ่ๆ ก็มีร่างเงาของหมู่คนลอยมาช้าๆ จากแนวป่าเบื้องหน้า พอมาใกล้ก็เห็นว่า เป็นกลุ่มคนในชุดโบราณประมาณแปดคน เป็นหญิงมากกว่าชาย จึงสอบถามกันทางจิต เพราะภาษาโบราณคงไม่กระดิกหูทั้งสองฝ่าย

ได้ความว่า ที่นี่หัวหน้าเป็นผู้หญิง ได้รับคำสั่งจาก นครหลวง (นครธม) ให้มาสร้างเมืองเพื่อขยายอาณาจักร เพื่อจัดหาธัญญาหารส่งเข้าเมืองหลวง มาทำการก่อสร้างได้สามปี ยังไม่ทันเรียบร้อยก็เกิดโรคระบาดทางน้ำ เกิดโรคห่ากิน (อหิวาตกโรค) ผู้คนตายเกือบหมด จากเจ็ดร้อยคน เหลือไม่ถึงร้อยคน จึงต้องทิ้งเมืองกลับนครไป

วิญญาณคนที่ตายก็ยังคงอยู่ที่นี่และรอคอยคนที่มีวิชามาช่วยปลดปล่อย พวกตนมาจากในวังจึงเล่นเครื่องบรรเลงเพลงมโหรีได้ เพื่อการรอคอย พวกเราดีใจที่ท่านมา เรารู้ว่าท่านช่วยเราได้..

เรามีความตั้งใจที่จะช่วยพวกท่าน แต่สิ่งแรกที่ปรารถนาคืออะไร คำตอบ.. ตอนโรคห่าระบาด พวกเราหิวน้ำมากจนกระทั่งบัดนี้ จึงอยากขอน้ำสะอาดก่อนและขอให้แผ่บารมีปลดปล่อยพวกเราด้วย จึงบอกพวกเขาไปว่า รับรู้แล้วและจะมาอีกครั้งในอีกสองวันข้างหน้า

เมื่อครบกำหนด เราก็ชวนสมาชิกชมรมอีกคนมาด้วยกัน ซื้อน้ำสิงห์ขวดกลางใส่เต็มท้ายรถ มาตอนกลางวัน ก็ขับรถวนหาสถานที่ ก็พบว่า มีศาลาโล่งอยู่แห่งหนึ่งจึงเข้าไป พบว่ามีคนมาถวายพระพุทธรูปขนาดเล็ก และตัวละครนางรำเกือบห้าร้อยตัว เพื่อให้สมกับเป็นดงละคร นางรำ

เราทะยอยเปิดขวดทุกขวด แล้วจึงอัญเชิญพลังของพระพุทธบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ เข้าลงในน้ำทุกหยด เพื่อเพิ่มกำลังในการปลดปล่อยวิญญาณ เมื่อเรียบร้อยก็กล่าวอัญเชิญวิญญาณทั้งหลายที่รอคอยอยู่ทั่วดงละครให้มา เพราะเราเอาน้ำมาให้แล้วตามที่สัญญาไว้

ทันทีที่กล่าวจบ วิญญาณเล็กๆ ที่เรืองแสงเหมือนหิ่งห้อยนับร้อยๆ บินลอยวนมา แล้วจุ่มตัวลงในขวดน้ำทุกขวด เหมือนผึ้งโฉบลงดอกไม้เพื่อดูดน้ำหวาน แล้วก็บินมาวนรอบๆ ตัวพวกเราเพื่อแสดงมุทิตา แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า จางหายไปจนหมดสิ้น ใช้เวลาไม่เกินสิบนาที

เราสองคนที่ไปด้วยกัน รู้สึกอิ่มใจที่ได้ช่วยให้วิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานอยู่หลายร้อยปีได้ไปผุดไปเกิดเสียที..

ข้างศาลาที่ว่า พบว่ามีต้นไม้ใหญ่ จึงเพ่งพบว่า เป็นเทพารักษ์สององค์ดูแลอยู่ ก็สวัสดีเขาไป และถัดไปมีบ่อน้ำเก่าลึกลับ มีร่องรอยว่ามีคนมาตัก ก็ก้มลงมอง สัมผัสได้กับพลังที่ดีมาก จึงขอแสดงความเคารพ ขอให้แสดงตน ปรากฏว่าเป็นพญานาคมีอายุมากจนตัวเป็นสีขาว เขาบอกว่า บ่อน้ำนี้ศักดิสิทธิ์ เขามาเฝ้านานแล้ว

หันไปดูจึงเห็นป้ายที่ทางการทำไว้ อธิบายว่า "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เหมือนน้ำมนต์ ผู้ใดดื่มกินจะหายจากโรคได้ และเป็นแหล่งน้ำที่ตักน้ำส่งเข้าสำนักพระราชวังในโอกาสที่มีการทำน้ำสรงที่ศักดิ์สิทธิ์ตลอดมา" ก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อให้ฟัง

ขับรถกลับออกมา ด้วยความสบายใจที่ได้ช่วยวิญญาณและเชื่อว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป จะไม่มีใครได้ยินเสียงบรรเลงมโหรีอีกต่อไป และ "ดงละคร" ก็คงจะเป็นตำนานต่อไปอีกนานแสนนาน

เครดิตแหล่งข้อมูล : klangsayong


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์