ผีเฝ้าสมบัติ ณ วัดกุฎีดาว

พระองค์เจ้าพีระเผชิญผีเฝ้าสมบัติ วัดกุฎีดาว

เรื่องนั้นมีอยู่ว่าพระองค์เจ้าพีระไปทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นจำพรรษาอยู่ในเขตอารามของจังหวัดนนทบุรี ลายแทงชิ้นนี้ท่านว่าได้มาโดยบังเอิญ ไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานของกุฏิ จึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระ ซึ่งพระองค์เจ้าพีระก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่ง

ลายแทงดังกล่าวลักษณะเป็นสมุดข่อยแบบโบราณ ด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยเขียนด้วยรงค์( สีน้ำย้อม) ตัวอักษรซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน) ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้นี้มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์ของสถานที่แห่งหนึ่งในอยุธยา แล้วมีเครื่องหมายเป็นปริศนาบอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง 16 จุด รอบๆโบสถ์ พร้อมกับมีคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย

สมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก 303 แห่ง ซึ่งหลังจากพระองค์เจ้าพีระทรงได้สมุดข่อยมาแล้ว จึงได้นำไปศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญอักขระอักษรไทยโบราณจนรู้แน่ชัดว่าเป็นที่หน้าโบสถ์ร้างของวัดกุฎีดาว
ซึ่งตำนานชาวบ้านก็มีว่าลึกลงไปใต้ดินของวัดกุฎีดาวเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่าเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด
พระองค์เจ้าพีระทรงเริ่มเปิดฉากการขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าตามลายแทงฉบับนั้นที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวเป็นจุดแรก ก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้นทรงดำเนินการขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยทำเรื่องไปที่กรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ และ มีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบได้จริงๆ จะมอบให้แก่รัฐ 90 % ส่วนอีก 10% เป็นของพระองค์

เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น ทรงดำเนินงานต่อในขั้นที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น คือ เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ (Mine Detecter) ที่ใช้ในวงการสำรวจแร่และธรณีวิทยา อุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่าลึกลงไปใต้ดิน 20 เมตร จะมีแหล่งแร่อะไรอยู่บ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง วัตถุโลหะอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่ โดยจะมีเสียงดังสะท้อนกลับหลายระดับ เช่น ถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมาก

หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระและคณะขุดหาสมบัติ ซึ่งประกอบด้วยหม่อมสาลี่พระชายา มร.แฮริสัน และ พระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่ง พร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก 15 คน ก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ 2503 เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติ

ก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหาสมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้น เพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย

คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวร้างนั้น มีมร.แฮริสันและพระสหายลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงานไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระและหม่อมสาลี่พระชายา เสด็จเช้าไปเย็นกลับจากกรุงเทพฯ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน

วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน ได้ใช้เครื่องมือค้นหาไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหาไปรอบๆบริเวณโบสถ์ ก็ปรากฎพบว่าเครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน 15 คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม ระดมเปิดหน้าดินและเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ 6-7 ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือเครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมากต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุดพักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้

คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระและพระชายาก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์โดยประทับอยู่ ณ วังเลขที่ 32 ซอยสุภางค์ ถนนสุขุมวิท อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พระองค์เจ้าพีระฯทรงเล่าว่า
"...พอกลับมาคืนวันนั้น ตอนดึกประมาณ 24:00 น.ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก" อยู่ที่ใต้พื้นดินที่วัง ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงหนูวิ่งไล่กันแต่พอฟังไปกลายเป็นเสียงคนขุดดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดินเพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้ามานอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก..."

พระองค์เจ้าพีระทรงสงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่จึงถือปืนเดินออกไปใหม่ เดินตามเสียงนั้นไปรอบๆบ้านโดยที่เสียงประหลาดนั้นยังคงดังอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวดังตรงโน้นที เดี๋ยวดังตรงนี้ที ย้ายที่ไปเรื่อยๆ เดินตามไปตรงที่เกิดเสียง ก็ย้ายหนีไปขุดดังตรงที่อื่นอีก หากเป็นคนทั่วไปก็คงจับไข้ห้วโกร๋นไปแล้ว แต่พระองค์เจ้าพีระทรงมีพระทัยแข็งและไม่เคยทรงเชื่อเรื่องผี ท่านจึงเดินตามเสียงประหลาดอย่างไม่หวั่นกลัวอะไร

เมื่อหาสาเหตุไม่พบว่าเสียงที่ได้ยินมีที่มาอย่างไรพระองค์เจ้าพีระ จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียงที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทมเหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า ตอนเช้าพระองค์เจ้าพีระเสด็จไปดูตรงจุดที่เกิดเสียงประหลาด ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร ไม่มีสิ่งใดสูญหายแม้แต่ดินก้อนเดียว พระองค์เจ้าพีระทรงเล่าว่า

"...เขามาอาละวาดเต็มที่ตามมาถึงบ้าน เขาคงมาท้วงเรา เพราะเราไม่ได้ไปแสดงความเคารพหรือขอขมาเขาเสียก่อนขุด ตอนนั้นฉันไม่เชื่อเรื่องผีจึงไม่ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์ ทั้งที่วันนั้นก็มีคนทักท้วงว่าควรจะทำ..."

เรื่องนี้พระองค์เจ้าพีระได้ตรัสเล่าให้พระญาติพระวงค์และพระสหาย ตลอดจนชาวบ้านที่มารับจ้างช่วยขุดหาขุมทรัพย์ฟัง ซึ่งทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาแสดงตัวปรากฎให้เห็นเตือนให้ยับยั้งการขุดหาขุมทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่ของตนเองและทุกคนต่างขอร้องให้พระองค์ทรงล้มเลิกการขุดหาขุมทรัพย์ในคราครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ แต่พระองค์และพระสหายไม่ยอมเลิกล้มโครงการ ตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดต่อไป

วันรุ่งขึ้นพระองค์เจ้าพีระได้ใช้เครื่องไมด์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูอีกครั้งที่หลุมซึ่งขุดค้างไว้ ปรากฎว่าเครื่องส่งเสียงแสดงว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดิม จึงให้คนงานขุดต่อที่หลุมเดิมขุดลงไปโดยขยายปากหลุมให้กว้างและโกยดินขึ้นมามากมายพบแต่หม้อดินโบราณใบเล็กๆใส่กระดูกคนเอาไว้ใบหนึ่ง นอกนั้นไม่พบอะไรเลย

วันต่อมาการขุดดำเนินการต่อไปอีก และได้มีการพระพุทธรูปขนาดเล็กๆจำนวน 2 องค์ นอกนั้นไม่พบทรัพย์สมบัติสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งที่เครื่องตรวจสอบแร่ธาตุระบุว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นและหลุมที่ขุดก็ลึกลงไปมากแล้ว

วันต่อๆมาก็ยังคงขุดต่อไปอีกกระทั่งถึงเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ 17:00 น.ขณะพระองค์เจ้าพีระได้ทรงวางเครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ซึ่งทรงถือมาเป็นเวลานานลง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้น ก็ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังซากพระอุโบสถใหญ่ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์ แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขนกระบอก กางเกงขาลีบๆสั้นๆ สีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ พระองค์เจ้าพีระท่านอุทานออกมาว่า

"ผีนี่นา!"

ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพราะชายคนดังกล่าวปราศจากศีรษะ พระองค์เจ้าพีระตรัสถามพระชายาและพระสหายทั้งสองว่าเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า หม่อมสาลี่และพระสหายตอบว่าไม่เห็นมีอะไร พระองค์เล่าต่อไปว่า

"...ฉันเห็นแล้ว ฉันไม่ตกใจ ความที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่มไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่มไป..."

พระองค์เจ้าพีระได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง ตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ การมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระองค์เจ้าพีระกำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผีที่เฝ้าขุมทรัพย์ กระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงเชื่อ

พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน เมื่อทราบว่าพระองค์เจ้าพีระทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทนที่พระองค์เจ้าพีระจะทรงยั้งคิดและไตร่ตรองถึงความผิดพลาด ที่ท่านกำลังละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่นที่ตายไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณเจ้าของเดิมหวงแหนเฝ้ารักษาอยู่ พระองค์กลับทรงเห็นว่าทรัพย์สินที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วนั้นย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ฉะนั้น ผู้ใดค้นพบผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง ที่พระองค์ทรงคิดเช่นนี้เนื่องจากไม่เชื่อว่าผีมีจริงวิญญาณมีจริงนั้นเอง

แม้วิญญาณเจ้าของสมบัติหรือปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะมาแสดงตนประหนึ่งห้ามปราม ทว่า พระองค์เจ้าพีระไม่ได้ทรงสนพระทัย ยังคงตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดค้นหาต่อไปอีก วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระและทีมงานได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก สัญญาณดังแรงมาก ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น

แต่ทันใดนั้นได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรงสุดกำลังแล้ว เสียงดังครืดๆๆ มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้ เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากันเผ่นหนีกระโจนขึ้นจากหลุมด้วยความกลัวตาย

เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว พระองค์เจ้าพีระและพระสหาย ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบที่ก้นหลุมอีกครั้ง แล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือนั้นคือสัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามากและยังชี้ไปทิศทางอื่น เป็นการบ่งชัดว่าขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น

แต่พระองค์เจ้าพีระยังไม่ทรงย่อท้อพระทัย จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่ ซึ่งเครื่องได้ชี้จุดห่างออกไปประมาณ 30 เมตร แต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่ ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีกนั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป

เป็นเวลาสองวันเต็มๆที่ชุดตามล่าหาขุมทรัพย์ ได้พยายามขุดตามมหาสมบัติที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่าหวุดหวิดจวนเจียนแล้วก็หนีไปจากที่เดิมเป็นที่น่าสังเกตุว่าบริเวณที่ขุมทรัพย์เคลื่อนย้ายหนีไปรวมตัว ณ ที่แห่งใหม่นั้น บางครั้งจะมีลักษณะเรียงตัวกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง ทรงกลมบ้าง เมื่อขุดตามไปก็ได้แต่ดินโกยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่เศษทองให้พบเห็นแม้แต่เพียงชิ้นเดียว

เมื่อทรงเห็นชัดเช่นนั้นจึงตรัสสั่งให้หยุดการขุดเอาไว้ก่อนและเริ่มหันมาสนพระทัยเรื่องไสยศาสตร์อันเร้นลับ บังเอิญได้ทรงรู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงทางไสยเวทย์พุทธาคม เมื่อท่านรับทราบเรื่องการขุดหาขุมทรัพย์ที่วัดร้างกุฎีดาวว่ามีอาถรรพ์ลึกลับก็รับว่าจะทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตขุดใหม่ เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ท่านนี้จึงได้ตั้งศาลเพียงตาขึ้นที่หลังโบสถ์นั้น
แล้วท่านก็นำเอาไข่ลมมาเสกให้ดู ปรากฎว่าไข่มีสีเขียวบ้างสีแดงบ้าง จากนั้นท่านก็ยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้มีทองคำจำนวนมากฝังอยู่จริงๆ และทำพิธีอยู่ 3- 4สัปดาห์ แต่เข้าฤดูฝนเสียก่อน การพิธีจึงจำเป็นต้องหยุดชะงักไปแม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังมิได้ดำเนินงานต่อ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าวิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่ พระองค์เจ้าพีระทรงเล่าว่า

"...เรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยา ฉันได้นำไปเล่าให้พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งฟัง พระอาจารย์รูปนี้เก่งมาก เป็นยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ เพราะท่านสำเร็จได้อภิญญาหลายอย่าง ท่านก็หลับตานั่งทางในแล้วไปคุยกับคนไม่มีศีรษะที่ฉันเห็น ท่านว่าเห็นแล้ว ท่านว่าคนนี้มีจริงๆเป็นปีศาจเฝ้าทรัพย์ ชื่อ "ผาด" เป็นอดีตทหารของพระเจ้าอู่ทอง ปีศาจตนนั้นได้บอกกับพระอาจารย์หลวงพ่อว่าฉันไปรบกวนเขาโดยไปขุดทรัพย์แล้วไม่ทำตามแบบแผน เขาจะให้ทรัพย์นั้นได้หรือไม่ ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของเรา อย่างไรก็ตาม เขาได้สาปผู้ไปขุดเอาทรัพย์นั้นแล้ว ว่าไม่ให้ทำมาค้าขึ้น ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะในเวลาต่อมาทั้งสามคนที่ร่วมกันขุดก็แย่ ฉันก็แย่..."

คำสาปจากวิญญาณผู้เฝ้าขุมทรัพย์ปรากฎเป็นความจริงในเวลาต่อมาคือธุรกิจที่พระองค์เจ้าพีระทรงร่วมกับพระสหายอีกสองคนมีอันต้องล้มเลิกกิจการเพราะล่มจมลง ต่อมา มร.แฮริสัน ก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และ พระสหายลูกครึ่งก็หายสาปสูญไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ไหนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

พระองค์เจ้าพีระแม้ในเวลาต่อมาได้ทรงดำเนินธุรกิจอีกหลายอย่าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ การดำเนินงานขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วยพระองค์เอง ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป

เรื่องพระองค์เจ้าพีระพงษ์ภาณุเดชกับประสบการณ์เผชิญวิญญาณหวงสมบัติที่วัดกุฎีดาวนี้ พระองค์เสด็จไปประทานสัมภาษณ์ไว้ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ณ ตึกเกษมปัญญาคาร วัดมกุฎกษัตริยาราม โดยมี พ.ต.อ.ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้กำกับการสันติบาลกอง 5 นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ และ นายแพทย์ประพันธ์ พืชผล เป็นผู้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ 2504

ณ ที่สมาคมนั้นพระองค์เจ้าพีระทรงยอมรับต่อที่ประชุมว่าแต่เดิมพระองค์ไม่เคยทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจใดๆเลยแต่ปัจจุบันได้ทรงยอมเชื่อแล้ว ทั้งนี้ เพราะได้ประสบมาด้วยพระองค์เอง


ผีเฝ้าสมบัติ  ณ วัดกุฎีดาว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์