ผู้รอคอย


ผู้รอคอย

ในฤดูแล้งต้นปี พ.ศ. 2514 ตอนนั้นฉันอายุได้ 10 ขวบ อาศัยอยู่บ้านพักในโรงไฟฟ้ากับบิดามารดา ใกล้ๆบ้านพักจะมีแม่น้ำท่าจีน

กั้นระหว่างโรงไฟฟ้า กับวัดแค ซึ่งวัดแคนั้นถือเป็นวัดในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตั้งแต่ฉันจำความได้ ที่วัดแคมีต้นมะขามขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ก่อนเก่า และเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับประวัติ ท่านอาจารย์คง ผู้เป็นอาจารย์ของ เณรแก้ว หรือ ขุนแผน ที่สามารถเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตนต่อยข้าศึกจนล้มตาย





ในวัยเยาว์ของฉัน แม้จะอายุแค่ 10 ขวบ แต่ก็ชอบเที่ยวป่า ชอบปีนต้นไม้เหมือนเด็กผู้ชาย

สวนมะม่วงของ ป้าจ๋า จึงเป็นที่หมายตาของพวกเรา (7-8 คน) ในช่วงปิดเทอม ซึ่งป้าจ๋า (ที่บัดนี้เสียชีวิตแล้ว) ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาอันดับต้น ๆ กับพวกเรา แกมักไล่ตะเพิดพร้อมปล่อยหมาเมื่อได้ยินเสียง ผลัวะ ผลัวะ ของหนังสติ๊กที่ท้ายสวนริมตลิ่ง แต่กับพ่อแม่ของพวกเรา ป้าจ๋าจักไปมาหาสู่กันทุกเช้าค่ำ และคำขาดของป้าจ๋าที่ตะโกนบอกในบ่ายวันหนี่ง





ยิงเก่งกันจริงมะม่วงสวนกู ยิงแล้วกองทิ้ง ไม่มีหมาตัวไหนแ_ก ถ้ากูเห็นใครถือหนังสติ๊กเข้าสวน กูจะให้หมาไล่ฟัด อยากกินกันดีนักก็โน่นตีสามตีสี่ มะม่วงตกให้ตุ้บตั้บ กูอนุญาต




ป้าจ๋าไม่กำชับเปล่าแถมไปกำชับกับพ่อแม่ของพวกเราอีก สรุปแล้ว ช่วงกลางวันก็ต้องกลับไปกระโดดน้ำ เกาะเชือกเรือโยงข้าว ดำผุดดำว่ายกันจนปากเขียวตัวซีด เพราะคำสั่งป้าจ๋า

พี่พร เป็นสาวสวยในตำบลรั้วใหญ่ มีบ้านอยู่ข้างวัดแค และอาศัยอยู่กับแม่แก่ ๆ ตามลำพัง ทุกเช้าพี่พรกับแม่จะพายเรืออก เร่ขายผัก และมักเวียนหัวเรือข้ามมาฝั่งโรงไฟฟ้าก่อนใคร ทุกคนในย่านนั้นต่างรู้ดีว่าพี่พรรักใคร่ชอบพออยู่กับ พี่สน ลูกจ้างของการไฟฟ้า แต่ต่อมา ฉันมักได้ยินพวกผู้ใหญ่ที่มารอซื้อผักพูดถึงพี่พรในทำนองว่า อีกหน่อยพี่พรก็จะสุขสบาย ไม่ต้องพายเรือขายผัก เพราะพี่พรจะแต่งงานกับลูกคนมีเงินในอีกไม่กี่เดือน



ยามนั้นใจฉันก็คิดตามประสาเด็กว่า พี่พรไม่รักพี่สนแล้วหรือ แล้วทำไมช่วงตี 4 ตี 5

ขณะที่ฉันย่องไปเก็บมะม่วงที่สวนป้าจ๋า มักจะเห็นพี่พรพายเรือมาพบพี่สนเป็นประจำ ที่ใต้ซุ้มกอไผ่ ฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง กลับคิดว่าดีเสียอีกที่เก็บมะม่วงกลับมายังได้ยินเสียงคนคุยกัน

แต่หลังจากนั้นไม่นาน พ่อแม่ของฉันก็ปิดบ้านแต่หัวค่ำ พ่อสั่งฉันอย่างเด็ดขาด ห้ามไม่ให้ลอดรั้วไปเก็บมะม่วงที่สวนป้าจ๋าอีก ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ไม่เคยถามเพราะพ่อเป็นคนดุ แต่ภายในใจคิดว่า ถ้าพ่อแม่หลับเพลินๆ วันใดก็จะหาหนทางออกไป

เช้ามืดวันหนึ่ง ฉันก็แอบไปเก็บมะม่วงที่สวนป้าจ๋าจนได้ ใกล้รุ่งวันนั้น ฉันอาศัยแสงจันทร์ที่ใกล้ลาลับขอบฟ้าส่องนำทางเพื่อเก็บมะม่วงแก้มแดงเกือบ 40-50 ลูก และขนมากองไว้ข้างรั้วแทนไม่หวาดไหว ลูกสวย ๆ ทั้งนั้น เมื่อหายเหนื่อยจึงเอามะม่วงใส่เสื้อช้อนด้านหน้าอุ้มกลับบ้าน



สักพักก็ได้ยินเสียงฝีพายแหวกน้ำ จ๋อม จ๋อม ดังเป็นจังหวะ ฉันคิดว่าหากไม่เป็นพี่พรก็คงเป็นพี่สนที่พายเรือข้ามฟากไป

แต่เสียงฝีพายกลับดังใกล้เข้ามา พี่พรนั่นเอง ฉันคิดก่อนที่จะเรียกชื่อพี่พรเบา ๆ พี่พรไม่พูดจา

จากแสงจันทร์สาด ฉันแลเห็นใบหน้าพี่พรเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย ฉันรีบหอบมะม่วงไปเก็บที่บ้านหนึ่งรอบ แต่พ่อแม่ก็ยังไม่ตื่น จึงรีบกลับไปที่ริมรั้วป้าจ๋าอีก เมื่อผ่านท่าน้ำ พบว่าพี่พรยังนั่งอยู่บนเรือคนเดียว โดยไม่มีพี่สนอยู่ใกล้ชิดเหมือนก่อน ฉันไม่กล้าชวนพี่พรคุย จึงรีบเดินไปเก็บมะม่วงส่วนที่เหลือ

พี่พรหันหัวเรือพายกลับไปทางฝั่งวัดแคตามลำพัง จากนั้น ฉันได้ยินเสียงพี่พรร้องเพลงกล่อมเห่คล้ายแม่ลูกอ่อนกล่อมลูก ฉันยืนฟังเสียงก่อไผ่เสียดสี และเสียงพี่พรร้องกล่อมเห่อยู่นาน ก่อนจะเดินกลับบ้าน เมื่อเดินเกือบถึงบ้าน ฉันเห็นพ่อและแม่กำลังเดินตรงมายังฉันพ่อตีฉันแรง ๆ 1 ที โดยไม่บอกถึงเหตุผลก่อนที่จะไล่ให้กลับบ้านอย่างโมโห



จวบจนเปิดเทอม ฉันถึงได้ยินคุณครูและพวกเพื่อน ๆ พูดถึงการตายของพี่พร

(โรงเรียนของฉัน คือ โรงเรียนวัดศรีรัตนมหาธาตุ อยู่ห่างจากวัดแคประมาณ 1 กม.) แต่ฉันกลับไม่รู้เรื่องการตายของพี่พรเลย แต่เมื่อย้อนเรื่องราว ป้าจ๋ามักเปรยกับแม่ฉันเสมอ ๆ ขณะที่ฉันอยู่ด้วย ถือว่ายังโชคดี มันเฮี้ยนหยอกเสียเมื่อไหร่ พวกตายทั้งกลม ไม่จับไข้หัวโกร๋นก็บุญแล้ว



ฉันมารู้เรื่องราวภายหลัง พี่พรหนีการแต่งงานกับลูกคนมีเงิน ด้วยการผูกคอตาย ในขณะที่ท้องหลายเดือนแล้ว ส่วนพี่สนได้หนีกลับไปบ้านเกิดหลังจากพี่พรเสียชีวิต


เรื่องของพี่พรนั้น คนรุ่นเก่าแถบวัดแค และฝั่งโรงไฟฟ้ารู้ถึงความเฮี้ยนเป็นอย่างดี เพราะกว่าวิญญาณของพี่พรจะเงียบหายไป ก็เล่นเอาผู้คนตลอดคุ้งน้ำไม่กล้าพายเรือตอนกลางคืนอยู่หลายปี




แหล่งที่มา : หนังสือ โลกลี้ลับ


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์