ลักษณะของผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง หรือที่ชาวอีสานมักเรียกกันว่า "ปอบเข้า" จะมีอาการแตกต่างกันไปต่างๆนานา บางคนอาจแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนอาจจะนอนซมคล้ายคนป่วยไข้อย่างหนัก ในขณะที่บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆนานา
โดยมากผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะร้องเรียกหาอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่ว่าจะเป็น พวกตับหมูตับไก่ต้ม และเวลากินอาหารก็จะแสดงความตะกละมูมมาม และกินได้จุผิดปกติของมนุษย์ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยผู้นั้นถูกปอบเข้าสิง ก็มักจะไปตามหมอผีให้ช่วยมาขับไล่ผีปอบให้ออกจากคนป่วยผู้นั้น
วิธีการไล่ปอบ
วิธีการไล่ปอบให้ออกจากร่างมนุษย์ มีอยู่หลายวิธีตามแต่แนวทางที่หมอผีผู้นั้นได้ร่ำเรียนมา บางคนอาจจะเอาพริกแห้งมาเผา แล้วรมควันจนคนป่วยผู้นั้นสำลักควันน้ำตาไหลพาก และเมื่อปอบออกจากร่างผู้ป่วยไปได้แล้ว หมอผีก็จะทำการข่มขู่ โดยการสอบถามว่าผีปอบตัวนั้นเป็นใครมาจากไหน เมื่อผีปอบรับสารภาพ หมอผีก็จะใจดีปล่อยปอบตัวนั้นไป
ผู้ป่วยที่ผีปอบออกจากร่างไปแล้ว ก็จะค่อยๆได้สติในภายหลัง เมื่อฟื้นขึ้นมานัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกรมจะหายไปทันที แต่เจ้าของปอบกลับจะมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือด จนไม่อาจสู้หน้าใครได้ และต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อไม่ให้ใครพบหน้า
หมอผีทั่วไปมักนิยมไล่ผีปอบโดยการใช้หวายเพื่อเฆี่ยนไล่ปอบ แต่การเฆี่ยนไล่ปอบก็เท่ากับการเฆี่ยนตีคนป่วยคนนั้นไปด้วย และหากปอบตัวไหนขัดขืน หมอผีก็จะต้องเฆี่ยนตีหนักขึ้น จนกระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย แต่เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายที่เคยมีก็จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่การผีปอบแบบนี้เคยเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว เนื่องจากผู้ป่วยผู้นั้นไม่ได้ถูกปอบเข้าสิงจริง แต่กลับป่วยเป็นโรคประสาทต่างหาก เมื่อญาติคิดว่าอาการป่วยที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพราะปอบเข้าสิง จึงไปตามหมอผีให้มาไล่ หมอผีจึงจัดการเฆี่ยนตีคนป่วยด้วยหวายจนได้รับความบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน จนในที่สุด คนป่วยก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตจากความบาดเจ็บ เรื่องนี้ร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย ส่วนหมอผีก็ต้องคิดคุกติดตะรางไปตามระเบียบ
อีกหนึ่งวิธีที่หมอผีนิยมใช้ขับไล่ปอบ ก็คือการนำเอาสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวมาข่มขู่ปอบ ตัวอย่างสัตว์ เช่น คางคก ตุ๊กแก งู เป็นต้น สำหรับกรณีนี้มักใช้กับคนที่ถูกปอบเพศหญิงเข้าสิง เพราะเมื่อผีปอบเหล่านี้โดนข่มขู่ด้วยสัตว์ ก็จะเกิดอาการขยะแขยง และยอมออกจากร่างที่เข้าสิงไปอย่างง่ายดาย
ส่วนผีปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้า เวลาที่เข้าสิงใครจะไม่ยอมออกจากร่างง่ายๆ กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย การไล่ผีปอบจะพบข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมปูดนูนขึ้นที่ใต้ผิวหนัง เวลาที่หมอผีจี้ก้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก ปอบที่แก่กล้าจะทำให้ก้อนกลมนี้จะเลื่อนหนีไปได้ และจะเป็นการลวงหมอผีว่าวิญญาณของปอบออกจากร่างบุคคลนั้นไปแล้ว ทั้งที่จริงยังคงอยู่ โดยมากปอบมักจะเลื่อนก้อนกลมหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรืออวัยวะเพศ ทำให้หมอผีหาไม่พบ
แต่สำหรับหมอผีรุ่นครูจะมีวิธีพิเศษที่จะช่วยขับไล่ปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้าให้ออกไปได้ โดยหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมมัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง จากนั้นจึงใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆใต้ผิวหนัง เมื่อก้อนกลมนี้หนีไปที่ใด ก็จะตามจี้ติดไปไม่ยอมปล่อย และเมื่อปอบถูกไพลเสกจี้ หรือที่ทางอีสานเรียกว่า "แทง" ปอบจะร้องโอดครวญดังลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส หมอผีจะขู่บังคับให้ปอบบอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดีหลังจากที่โดนทรมานจนหวาดกลัวและเข็ดหลาบไปแล้ว หลังจากนั้น หมอผีจะแก้มัดปอบด้วยด้ายสายสิญจน์ แล้วปล่อยให้ปอบออกไป
หมอผีบางรายอาจมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด เพื่อทำให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนา มาครอบศีรษะของคนที่ถูกปอบสิง จากนั้นจะใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟคล้ายๆกับการโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ แล้วจึงปล่อยให้ปอบออกจากร่างไป วิธีการไล่ปอบเช่นนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบ หรือผู้ที่เลี้ยงปอบเอาไว้เส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ ทำให้ไม่กล้าหนีออกจากห้องไปไหน และต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรืออาจต้องใช้ผ้าปกคลุมปิดศีรษะตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม "ผีปอบ" จะมีจริงหรือไม่? ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและวิจารณญาณส่วนบุคคลเท่านั้น
ขอบคุณ :: tnews