ในกาลครั้งหนึ่งมีกษัตริย์ผู้ครองกรุงพาลี ทรงพระนามว่า ท้าวทศราช
มีพระมเหสีทรงพระนามว่า พระนางสันทาทุก มีพระราชโอรส 9 พระองค์
มีปัญญาเฉียวฉลาด รอบรู้ใน สิ่งต่าง ๆ ยิ่งกว่าบุคคลทั้งหลาย
พระองค์ที่ 1 ทรงพระนามว่า พระชัยมงคล
พระองค์ที่ 2 ทรงพระนามว่า พระนครราช
พระองค์ที่ 3 ทรงพระนามว่า พระเทเพล
พระองค์ที่ 4 ทรงพระนามง่า พระชัยสพ
พระองค์ที่ 5 ทรงพระนามว่า พระคนธรรพ์
พระองค์ที่ 6 ทรงพระนามว่า พระธรรมโหรา
พระองค์ที่ 7 ทรงพระนามว่า พระ เทวเถรวัยทัต
พระองค์ที่ 8 ทรงพระนามว่า พระธรรมมิกราช
พระองค์ที่ 9 ทรงพระนามว่า ทาษธารา
แต่ละพระองค์มีอิทธิฤทธิ์มาก ทรงมีพระปรีชาสามารถรอบรู้ในสิ่งต่างๆ
เป็นอย่างดี ถ้าหากคิดว่าจะทำอะไร ก็จะต้องทำให้ได้ทุกอย่าง
จะเป็นในทางสุจริตหรือทุจริตก็ทำได้ทั้งนั้น ทรงมีปัญญาแก้ไขในเหตุการณ์ต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี ครบทั้ง 9 พระองค์ โดยไม่มีใครเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเท่าใดนัก
การเป็นอยู่พอๆ กันทั้งหมด
ครั้นต่อมา พระโอรสทั้ง 9 พระองค์ ทรงเจริญพระชันษา
พระราชาทศราชกับพระนางสันทาทุก ปรึกษาหารือกัน จนเป็นที่ตกลงกันว่า
จะต้องมอบให้พระโอรสทั้ง 9 พระองค์ ไปปกครองเขตนิเวศสถานต่าง ๆ จึงมอบให้
พระโอรสองค์ที่ 1 พระชัยมงคล ไปครอบครองดูแล สถานบ้านเรือน และ โรงร้าน
พระโอรสองค์ที่ 2 พระนครราช ไปครอบครองดูแล ประตู ป้อม ค่าย บันได หอรบ
พระโอรสองค์ที่ 3 พระเทเพล ไปครอบครองดูแล คอกสัตว์ต่าง ๆ ที่มี
พระโอรสองค์ที่ 4 พระชัยสพ ไปครอบครองดูแล ยุ้งฉางและเสบียงคลัง
พระโอรสองค์ที่ 5 พระคนธรรพ์ ไปครอบครองดูแล เรือนหอ และโรงพิธีแต่งงาน
พระโอรสองค์ที่ 6 พระธรรมโหรา ไปครอบครองดูแล เรือกสวน ไร่นา และ โรงนา
พระโอรสองค์ที่ 7 พระวัยทัต ไปครอบครองดูแล วัดวาอาราม และ ปูชนียสถาน
พระโอรสองค์ที่ 8 พระธรรมมิกราช ไปครอบครองดูแล พืชพันธ์ธัญญาหารต่าง ๆ
พระโอรสองค์ที่ 9 พระทาสธารา ไปครอบครองดุแล ห้วยหนอง คลอง บึง บ่อ และ ลำธาร
เมื่อมอบหมายหน้าที่ ให้ครบทั้ง 9 พระองค์แล้ว ท้าวทศราช
ผู้ซึ่งมีจิตใจที่ผิดมนุษย์ธรรม สันดานโกง หยาบช้าลามก เห็นแก่ได้ในสิ่งต่าง ๆ
ด้วยความโลภไม่มีวันสิ้นสุด เที่ยวคดโกงรังแกชาวประชา
ต่างได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่วทุกมุมเมือง ยังใช้ให้พระโอรสทั้ง 9 พระองค์
กระทำการหยาบช้า โดยการเข้าไปสิงสู่ในผู้คน
แล้วก็เรียกร้องเครื่องสังเวยและสินบน คนละจำนวนมากๆ
โดยที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม จนชาวประชาเดือดร้อนเป็นอย่างหนัก
แต่ก็พูดอะไรไม่ออก และไม่มีทางแก้ไข จึงปล่อยไปให้เลยตามเลย ต่างก็ไม่คิดที่จะแก้ไข เพราะหมดปํญญา หมดศรัทธา ต่อการกระทำของ ท้าวทศราช และ
พระโอรสทั้ง 9 พระองค์ ที่มีใจฮึกเหิมเหี้ยมเกรียม กระทำย่ำยีจิตใจมนุษย์ทั้งหลาย
ให้ตกอยู่บนกองทุกข์ ไม่เป็นอันที่จะทำมาหากิน เพราะหมดกำลังใจ
ก่อนที่บ้านเมืองจะถึงกับความวิบัติล่มจมลงไป เรื่องของเจ้ากรุงพาลีกลั่นแกล้งประชาชน จึงร้อนไปถึงพระนารายณ์ เห็นท่าว่าขืนปล่อยเอาไว้ บ้านเมืองก็จะพินาศล่มจม
ด้วยใจที่สงสารประชาชน พระนารายณ์จึงต้องหาทางแก้ไขเป็นการด่วน
คิดที่จะลงโทษและดัดสันดานของเจ้ากรุงพาลี พระนารายณ์จึงปลอมแปลงรูปกาย
เป็นพราหมณ์ผู้มีศีล เหาะตรงลงมายังกรุงพาลี แล้วจึงเข้าเฝ้า ท่านท้าวทศราช
ตามเจตนาที่คิดเอาไว้
ส่วนเจ้ากรุงพาลี ท้าวทศราชและพระนางสันทาทุก เมื่อเห็นพราหมณ์มาเข้าเฝ้าก็มีความยินดี โดยที่มิได้รู้กลลวงของพระนารายณ์ จึงทักทายปราศรัยด้วยไมตรี
ฝ่ายพราหมณ์ปลอมได้โอกาส จึงกราบทลูขอ ที่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยบำเพ็ญตบะ
จากท้าวทศราช 3 ก้าว เจ้ากรุงพาลีมิได้ระแวงอะไร
จึงตอบตกลงอนุญาตให้กับพราหมณ์นั้น เมื่อได้โอกาสพราหมณ์จำแลง
ก็ขอให้ท้าวทศราชหลั่งน้ำอุทกธารา เพื่อให้มีสิทธิ์ตามคำดำรัส
ท้าวทศราชก็มิได้ขัดเคืองแต่ประการใด สั่งอำมาตย์นำสิ่งของที่ต้องใช้
ในการหลั่งน้ำอุทกธาราเตรียมมาให้พร้อม เมื่อได้ของต้องประสงค์แล้ว
ท่านท้าวทศราชก็จัดทำพิธีหลั่งน้ำอุทกธารา เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยให้กับพราหมณ์
ตามความประสงค์ ทรงถือน้ำเต้า กำลังจะเทน้ำออกมา ร้อนถึงพระศุกร์
ผู้เป็นอาจารย์ของท้าวทศราช รู้ในเหตุการณ์ดีว่า
พระนารายณ์จะดัดสันดานเจ้ากรุงพาลี จึงเนรมิตตนเองให้เล็กลง
แล้วเข้าไปนอนขวางอยู่ในรูพระเต้า เพิ่อมิให้ท้าวทศราชหลั่งน้ำอุทกธาราออกมาได้
เมื่อเจ้ากรุงพาลีเทน้ำ จะเทอย่างไรน้ำก็ไม่ไหลออกมา
จึงสร้างความสงสัยให้กับพระนารายณ์เป็นยิ่งนัก ว่าทำไมน้ำอุทกธารา
จึงไม่ไหลออกมาตามปกติ พระนารายณ์จึงเพ่งฌานดู
จึงรู้ว่าพระศุกร์แกล้งเข้าไปนอนขวางอยู่ในพระเต้าน้ำนั้น
พระนารายณ์จึงเก็บเอาหญ้าคา ยอนแยงเข้าไปในรูพระเต้า
เดชะบังเอิญหญ้าคาแทงเข้าไปถูกลูกนัยน์ตาของพระศุกร์
ได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส พระศุกร์หมดความอดทน
จึงเหาะหนีออกไปจากพระเต้าน้ำนั้น น้ำก็ไหลออกมาตามความต้องการของพระนารยณ์
จึงเป็นการสำเร็จในการหลั่งน้ำอุทกธารา เพื่อให้เป็นที่อยู่ของพราหมณ์
เมื่อหลั่งน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระนารายณ์จึงกลับกลายร่างเป็นพระนารายณ์เหมือนเดิม ใช้อภินิหารของพระองค์ทำการก้าวย่างลงไป บนพื้นแผ่นดินของกรุงพาลี ได้เพียง 2 ก้าวเท่านั้น ก็หมดสิ้นเขตพระธรณีของกรุงพาลี
ท้าวทศราชเห็นดังนั้น ตกพระทัย ตะลึงถึงกับเสียพระทัยเป็นอย่างหนัก
ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เสียรู้หลงกลพระนารายณ์ ตัวสั่นงันงก ก้มลงกราบไหว้ทลูขอว่า
จงอย่าขับไล่พระองค์ไปจากที่นี่เลย ขอเพียงให้มีที่อยู่อาศัยบ้างตามแต่จะทรงเมตตา แม้แต่จะอ้อนวอนอย่างไรก็ไร้ผล พระนารายณ์ทรงไม่ฟังเสียง
เพราะต้องการที่จะดัดสันดาน ให้รู้ถึงบาปบุญคุณโทษ และจะได้รู้สำนึกผิด
ที่ตนเองได้กระทำให้ราษฎร์ได้รับความเดือดร้อนกันทั่วทุกมุมเมือง ด้วยใจโหดเหี้ยมอำมหิต โดยที่ไม่มีจิตเมตตากรุณาแต่ประการใด มิได้เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น จึงเข้าทำนองที่ว่า" เนื้อของเขาจะกิน แต่เนื้อของตัวกลัวเจ็บ "
พระนารายณ์จึงขับไล่เนรเทศครอบครัวของท้าวทศราชเจ้ากรุงพาลีทั้งหมด
ในบรรดากลุ่มของเจ้ากรุงพาลีทั้งหมด ต้องทนทุกข์ อดๆ อยากๆ มีแต่ความลำบากยากแค้นแสนสาหัส จึงนั่งจับกลุ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ อย่างน่าเวทนาเป็นยิ่งนัก เมื่อได้รับความลำบากยากแค้นเกิดขึ้นกับตนเอง จึงสำนึกได้ว่า การกระทำย่ำยีกลั่นแกล้งผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อนนั้นเป็นอย่างไร ก็คงไม่ผิดอะไรไปกว่าที่พวกตนเองได้รับอยู่ในขณะนี้ เมื่อคิดเห็นในการกระทำของตนเองแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเสียใจกันอย่างหนัก ต่างก็คิดว่าไม่ควรที่จะกระทำเช่นนั้นเลย เพราะมันเป็นบาปกรรมอย่างมหาศาล จึงต้องพากันมารับความทุกข์ยากลำเค็ญลำบากลำบนเป็นที่สุด ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีผ้าจะนุ่งห่ม ต้องเอาใบไม้ใบตองมานุ่งห่มแทนเสื้อผ้า ไม่มียารักษาโรค เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ต้องเก็บเอารากไม้ใบไม้สมุนไพรแทนยารักษาโรค ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน ต้องใช้พื้นดินเป็นบ้าน ป่าไม้ร่มใบบังเป็นหลังคา ต้องใช้หญ้าแพรกแทนพรมปูนอน ต้องใช้ท่อนไม้แทนหมอนหนุนหัว ใช้แสงดาวเดือนที่สว่างจ้าแทนโคมไฟ ครอบครัวของเจ้ากรุงพาลีตัดสินใจทนความหน้าด้าน พากันเข้าเฝ้าพระนารายณ์ เพื่อทูลขอแผ่นดินกลับคืนมาบ้าง ท่านท้าวทศราชผู้เป็นเจ้ากรุงพาลีเมื่อในอดีต ก็พาบริวารขึ้นไปเข้าเฝ้าพระนารายณ์ทันที กราบทูลพระนารายณ์ตามตรงว่าสำนึกผิดแล้ว ขอประทานอภัยโทษ ขอที่ดินกลับคืน เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยด้วยเถิด พระนารายณ์เห็นสภาพเช่นนั้น ก็ให้มีจิตคิดสงสาร จึงทรงอนุญาตให้กลับมาอยู่ในกรุงพาลีได้เหมือนอย่างเดิม แต่จะไม่ยกแผ่นดินให้ทั้งหมด ให้ปักเสาลงดินได้เพียงเสาเดียว แล้วก็ต้องคอยดูแลความเรียบร้อย อาคาร บ้าน เรือน และสถานที่ต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน อยู่กันอย่างมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
พระภูมิเจ้ากรุงพาลี ให้คำมั่นสัญญากับองค์พระนารายณ์เป็นอย่างดี และจะมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดี ให้ความคุ้มครองดูแล เคหะสถานบ้านเรือนและสถานที่ต่าง ๆโดยจะไม่มีการบิดพลิ้วแต่ประการใด ด้วยสัจจะวาจา และถ้าหากผู้ใดมีใจปรารถนา ที่จะให้ช่วยคุ้มครองดูแลในสถานที่ใด ก็ขอให้ตั้งศาลไว้ในสถานที่นั้น ใช้เสาเพียงต้นเดียว ดังคำสัญญาที่ตกลงกันนี้ ใช้ผ้าแพร 3 สี ผูกประดับที่ศาล มีเครื่องสังเวยมาบวงสรวง ทำการเช่นนี้มาถวาย จุดธูปเทียนดอกไม้บูชาบอกกล่าว หรือจะบนบานอย่างไร ก็ตามแต่ใจคิดและปรารถนาเท่านั้น ก็จะได้ช่วยคุ้มครองดุแล เคหะสถานบ้านเรือน ร้านค้าหรือโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรือกิจการใดๆ ให้มีความเจริญงอกงาม ลาภหลั่งไหลมาเป็นเนืองนิตย์ ศัตรูหมู่มารพ่ายแพ้หลีกหนี พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องเลวร้ายทั้งปวง
พระนารายณ์ฟังคำมั่นสัญญา จากท้าวทศราชแล้ว ก็เห็นว่าคำพูดมีน้ำหนัก และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นอันมาก จึงทรงอนุญาตให้กลับเข้าไปเฝ้าอยู่ตามสถานที่ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละพระองค์ ดังที่ได้แบ่งเป็นหน้าที่และเขตปฏิบัติการนั้นไว้ตั้งแต่ต้น นับตั้งแต่นั้นมา ประชาชนก็มีความร่มเย็นเป็นสุขสืบต่อกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษมาจนกระทั่งถึง ลูกหลานเหลนโหลน และตราบจนกระทั่งจนถึงทุกวันนี้ ตลอดไปจนถึงอนาคตกาลภายหน้า
เมื่อเราท่านทั้งหลาย ได้ทราบประวัติ ความเป็นมาของท่านท้าวทศราช เจ้ากรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่กันดังนี้แล้ว ถ้าหากว่าจะมีการปลูกบ้าน ร้านค้า โรงงาน หรือ สถานที่ต่าง ๆ แล้ว ก็ควรจะต้องตั้งศาลพระภูมิให้เป็นที่ถูกต้อง มีการเซ่นไหว้ถวายเครื่องสังเวยต่าง ๆ โดยต้องแบ่งแยกกันเป็นระยะ ที่องค์พระภูมิท่านจะเสวยมังสวิรัติ หรือเนื้อสัตว์ ของสด ของคาว ก็สุดแท้แต่กำหนดการของท่าน จุดธูปเทียนบูชา ดอกไม้ ให้เป็นสิริมงคล ความสมบรูณ์พูนผลก็จะเกิดขึ้น ลาภผลหลั่งไหล มาไม่ขาดสาย ทำให้กิจการรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้าวัฒนาถาวรยิ่ง ๆ ขึ้นไป