ปู่โสมเฝ้าทรัพย์


ปู่โสมเฝ้าทรัพย์

"ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏิดาว"


กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย

ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ



"ถูกฆ่า"


สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย

ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ควายถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ



"เฝ้าสมบัติ"


ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้วยังถึงกับฆ่าบริวาร

หรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เฝ้าสมบัติของตนก็มี



"วิญญาณโบราณ"


เมืองกรุงเก่าอยุธยานับแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของ "วิญญาณ"

ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ หลายเรื่องน่ากลัว หลายเรื่องฟังแล้วน่าตื่นเต้นดีและทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...



"ที่ซ่อนทรัพย์"


เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเกี่ยวกับลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมายภาย

ในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ลายแทงนั้นบอกว่าพระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง



"ลายแทง"


ลายแทงขุมทรัพย์มีค่ามหาศาลนี้ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านนายระดับ "พระองค์เจ้า" พระองค์หนึ่ง

ซึ่งพระนามของพระองค์ได้รับการกล่าวขวัญในวงการแข่งรถ การได้มาของลายแทงนี้ไม่ทราบชัดว่าท่านได้มาอย่างไร...



"สมบัติ"


จากใคร...แต่พิสูจน์ได้แน่ชัดว่าต้องมีทรัพย์มีค่าฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ เพราะพระองค์เจ้าพระองค์นี้กับพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่อง

"ไมน์ดีเทคเตอร์" ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุมาสำรวจตรวจดูแล้ว และปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ระบุว่าจุดที่ตรวจค้นมีสมบัติล้ำค่าถูกฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ



"วัดโบราณ"


วัดกุฏิดาวเป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในสมัยอยุธยาในลายแทงขุมทรัพย์บอกว่า

ที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 แห่ง ดังนั้นพระองค์เจ้าพระองค์นี้และพระสหายหลายคน



"ขุดค้น"


จึงได้ทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากรขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10%

และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏิดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2503



"ไม่มีอะไรเลย"


น่าประหลาดที่การขุดสมบัติที่วัดกุฏิดาว เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่กลับไม่พบสิ่งใดเลย

แม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูก่อนแล้ว เครื่องก็ส่งสัญญาณว่ามีสิ่งมีค่าผังอยู่แน่นอนแต่พอขุดลงไปกลับไม่มีอะไรเลย



"ปู่โสม"


การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาวในครั้งนั้นนอกจากจะพบความผิดหวังแล้วพระองค์เจ้าฯและพระสหาย

ยังพบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ที่น่ากลัวอีกหลายอย่าง นั่นก็คือท่านและพระสหายเห็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์"



"ไร้หัว"


มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ เป็นร่างของนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไร้หัว

นอกจากนี้ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน



"โกรธแค้น"


เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆ มาช่วยดู อาจารย์ที่ท่านนั้นก็บอกว่า

วิญญาณที่ปรากฏเป็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เขาเป็นเจ้าของสมบัตินั้นและโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน



"คำสาปแช่ง"


คำสาปแช่งนั้นต่อมาก็เป็นจริง เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน

ทั้งๆ ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนประสหายอีกคนก็หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน



"ยังวนเวียน"


ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏิดาวปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิม เพราะยังไม่มีใครกล้าหาญไปขุดค้น

เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติมาหลอกหลอนและสาปแช่งวัดกุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ



"วัดร้างอีกแห่ง"


ป้ายชื่อวัดไม่มีบอกต้องอาศัยลามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง

"วัดมเหยงค์" นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐแดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนาสาถนที่สวยงามในอดีต



"เสียงสวดมนต์"


วัดมเหยงค์แห่งนี้เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่ามีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ใน่วงทำนองอันไพเราะดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ

สวดช้าๆ เย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบันและดังในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...




แหล่งที่มา:


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์