สัมผัสมิติแห่งจิตวิญญาณ!?
มนุษย์ทุกคนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง
ใครจะอยู่บนโลกได้นานเท่าไหร่จะตายเมื่อไหร่เชื่อกันว่า ขึ้นอยู่กับกรรมที่เคยสร้างสมไว้ในอดีต
ทุกคนเมื่อถึงที่ตายก็ต้องตาย ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายพ้น และหากความตายมาถึง จิตทุกดวงที่ออกจากร่างหรือกายเนื้อ จะถูกเรียกว่า "จิตวิญญาณ" ทันที
ดังนั้นแทบทุกศาสนาบนโลกจึงมีคำบันทึก
อยู่ในหลักคำสอน โดยยืนยันว่า "วิญญาณ" มีอยู่จริง แม้ร่างกายเราจะดับแตกสลาย แต่วิญญาณเป็นอมตะไม่รู้จักตาย
และจะยังคงอยู่ในรูปของพลังงานที่นักวิยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเป็นพลังแห่ง "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า"
หลายคนมีความเชื่อว่าภาวะหลังความตายของมนุษย์แต่ละคน
ไม่เหมือนกัน บางคนเมื่อวิญญาณออกจากร่างก็ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่สุขสลาย ตามกรรมดีที่เคยสร้างสมมา
แต่ปางดวงวิญญาณจะยังวนเวียนอยู่ใกล้คนที่ตนรักและผูกพัน จึงต้องคอยตามดูแล ช่วยคุ้มภัยทั้งนี้เพราะเขาตายใน
ขณะที่จิตยังห่วงกังวลทำให้วิญญาณไม่สอบยังยึดติดอยู่กับชีวิตเก่า
ประสบการณ์ของผู้ที่ติดต่อกับวิญญาณได้มีหลายรูปแบบที่น่าสนใจส่วนใหญ่แล้วผู้ที่สัมผัสกับ "วิญญาณ" ได้จะเป็นผู้ที่มี
"สัมผัสที่ 6" คือจะรู้และเห็นเรื่องเหนือธรรมชาติได้พิเศษกว่าคนธรรมดา แต่กับบางคน เกือบครึ่งหนึ่งของชีวิตไม่เคยรู้จักหรือได้สัมผัสกับสิ่งลี้ลับใดๆ
โดยเฉพาะ "วิญญาณ" มาก่อนเลย แต่แล้วพอถึงช่วงวิกฤตของชีวิต
ณ เวลานั้นได้ทำให้เธอพบเห็นและเข้าไปสัมผัสกับเรื่องเหลือเชื่อในอีกมิติหนึ่งได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งยังทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปหลังจากนั้น
เธอคนที่เรากำลังกล่าวถึงนี้นิตยา ประเศรษฐ สุต เป็นผู้ที่ได้สัมผัสเหตุการณ์ข้างต้นคอหลังจากที่สามีได้เสียชีวิตลง
ชีวิตเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เริ่มจากการได้รับสื่อสัมผัสจาก
"วิญญาณ" ของสามีที่จากไป คุณนิตยาได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
"สามีพี่เป็นตำรวจค่ะ ชื่อร้อยตำรวจตรีวรวิทย์ ประเศรษฐสุต เป็นครูฝึกที่ตงฉิน และจริงจังกับอาชีพมาก
เขาเป็นรองสารวัตรปราบปราม อยู่ที่ อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ ตอนหลังเขาเสียชีวิตเพราะเป็นมะเร็งปอด คือ สูบบุหรี่จัด
และก็เป็นเนื้องอกในสมองพร้อมกัน พอเป็นได้ 4 เดือน
กว่าแกก็เสียตอนนั้น พี่อายุ 42 สามีอายุ 50
"เมื่อสามีเสียชีวิตลงเรื่องราวแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับชีวิตของเธออย่างน่าอัศจรรย์ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีสิ่งใดบ่งบอกมาก่อนว่าเธอจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้
"พี่เองเมื่อตอนเด็กๆ จะเป็นเคยเห็นเรื่องเร้นลับไม่เคย และก็ไม่ได้นึกถึงเลย แต่พอสามีเสีย เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 37
ชีวิตพี่ก็แปลกไปเลยเริ่มสัมผัสอะไรได้ เมื่อตอนงานศพสามีในคืนวันที่ 3
กลางคืนประมาณ 3 ทุ่มวันนั้นมีแขกเยอะ พี่รู้สึกตัวว่าไม่ค่อยดี มันมีอาการเหมือนจะอาเจียนออกมาก็เลยจับแขนพยาบาลที่เป็นญาติกัน
บอกว่าให้ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย มันมีอาการไม่ค่อยจะดี คงเพราะคนมันเยอะก็ชวนเขาพาไปหลบคน
เสร็จแล้วพี่ก็อาเจียนและถ่ายออกมาเป็นเลือด ตอนนั้นก็ยังพอรู้สึกตัวอยู่
พี่น้องตกใจก็รีบพาส่งโรงพยาบาล แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย"
เหตุการณ์หลังจากนั้น คุณนิตยาเริ่มเกิดสัมผัสพิเศษขึ้นเป็นครั้งแรก
"ตอนที่พี่อยู่โรงพยาบาล ขณะยังไม่รู้สึกตัว พี่ก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จิตพี่ก็ตามไป มันหอมเย็นชื่นใจ
เหมือนดอกมะลิพวงใหญ่ๆ แต่ไม่ใช่ดอกมะลิมันหอมแบบดอกเขี้ยวกระแต
หอมจับจิตจับใจ พอได้กลิ่นหอม ก็ได้ยินเสียงสามีพี่ เขามาบอกว่า "จะไปเกิดแล้วนะ" พี่ก็บอกเขาว่าอย่าเพิ่งไปเกิด
ช่วยกันเลี้ยงลูกให้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวมีงานมีการมีครอบครัวก่อน พี่บอกเขาอย่างนั้นพอพี่ฟื้นขึ้นมา รู้สึกจะเป็นตอนเช้า
พยาบาลที่มาดูแลก็มาจับชีพจร แกก็ถามว่าฟื้นแล้วหรือ
รู้มั๊ยว่า อยู่ที่ไหน...แกก็ดีใจที่พี่ฟื้น"
คราวนั้นคุณนิตยา ต้องนอนรักษา ตัวอยู่โรงพยาบาลนานนับ 10 วันโดยที่เธอไม่รู้ตัวว่าเธอมีอาการหนักทีเดียว
"หมอบอกว่า คุณรู้มั๊ยคุณเป็นหนักมากนะ และช่วงที่อยู่โรงพยาบาล 10 กว่าวัน พี่จะได้กลิ่นหอมเย็นเป็นประจำ
ใจพี่ก็รู้ว่าแฟนพี่ไม่ไปไหน เขาอยู่กับพี่ คือจิตรู้เลย
มันจะสัมผัสได้ตั้งแต่ฟื้น ตอนนั้นพี่ก็เหมือนหุ่น พี่น้องหรือใครจะพาไปไหนพี่ก็ไป เสร็จแล้วก็กลับมาอยู่บ้านเกิดของพี่
แม่และน้องรับมาช่วยดูแลกันเอง แต่ก็อยู่ไม่ได้ เพราะสามีแกมาให้ลุกเห็น ลูกสาวบอกว่า พ่อมาเรียกบ่อยๆ
บางทีพ่อก็มาเคาะประตูเหมือนไม่อยากให้อยู่ที่นั่นเพราะตอน
ที่แกมีชีวิตอยู่แกก็บอกกับพี่ว่าไม่ให้อยู่กับใคร ก็มีโครงการจะซื้อบ้านที่ขอนแก่น พอหลังจากนั้นพี่ก็มาอยู่ที่ขอนแก่น มาค้าขายนิดๆ หน่อยๆ พอได้อยู่เลี้ยงลูกไป"
วิญญาณของผู้ที่จากไป โดยทิ้งภาระทางการเงินอันหนักอึ้งไว้แก่คนข้างหลัง วิญญาณดวงนั้นย่อมไม่สงบ
สามีคุณนิตยาจึงมักมาแสดงหรือมาปรากฏตัวให้คนในบ้านที่ใกล้ชิด เห็นอยู่เป็นประจำ
"พี่เคยเห็นสามีครั้งแรกหลังจากที่เขาตายไป ตอนนั้นปี 42 พี่ไม่มีเงินค่าเทอมให้ลูก เพราะเปิดเทอมต้องจ่ายเยอะ
พี่ก็นอนอยู่ประมาณ 2 ซม. จู่ๆ สามีก็มาปรากฏให้เห็นเลย เขามายืนมองพี่ ช่วงที่พี่หลับอยู่ พอลืมตาก็เห็นแกยืนก้มมองพี่อยู่
มองแบบห่วงหาอาลัย พอพี่เห็นพี่ก็ตกใจ
และดีใจที่ได้เห็นแกคือเห็นในลักษณะที่แกเป็นคนเลย แล้วลูกชายเขาเคยเล่าให้พี่ฟัง คือพ่อเขาตายตอนลูกชายอยู่ ป.5 พอ ป.6
ก็เริ่มเกเร เขามีเพื่อนเกๆ ทุกประเภท วันนึ่งเขาเดินลงมาเข้าห้องน้ำข้างล่าง เขาเห็นพ่อเดินมาให้เห็นเลย ก็ถามเขาว่าตกใจมั๊ย
เขาบอกไม่เขาเฉยๆ แต่อีกครั้งนึงสิ เขานอนอยู่แล้วจะไปหยิบบุหรี่
ก็เจอพ่อนอนอยู่ พ่อใส่กางเกง ขาสั้น ใส่เสื้อแบบที่เคยใส่อยู่ประจำนั่นแหล่ะ คือปกติสามีพี่จะรักลูกชายคนเล็กมาก
วิญญาณจึงห่วงและผูกพันกับครอบครัวตลอด กับอีกหนหนึ่งคราวนี้มาให้เพื่อนลุกชายเห็นเลย เขาเล่าว่าเห็นพ่อแต่งเครื่องแบบ
เดินมองเพื่อนลูกชายแบบเฉยๆ แล้วก็เดินทะลุฝาผนังออกไป
ตั้งแต่นั้นมาเด็กคนนั้นไม่กล้ามาบ้านอีกเลย เขากลัว"
คุณนิตยายืนยันว่าเธอมีลางสังหรณ์และสัมผัสในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งเรื่องนี้คนโบราณถือเป็นข้อสังเกตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนใหญ่แล้วเชื่อว่าเหตุที่เป็นลางนั้นเกิดจากอำนาจแห่งวิบากกรรม แต่บางครั้งก็เป็นการดลบันดาลของโอปปาติกะ
โดยแสดงนิมิตรให้เห็นเป็นลางบอกเหตุ
ลางสังหรณ์เหตุการณ์ที่เกิดกับคุณนิตยานั้นเกิดขึ้น ก่อนหน้าที่สามีจะเสียชีวิต แต่เธอกลับไม่รู้สึกเฉลียวใจเลยแม้แต่น้อย
"พี่มีลางสังหรณ์มานานแล้ว ตั้งแต่แฟนพี่ยังป่วยอู่ แต่พี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นลางสังหรณ์ ที่ฝันว่า "ข้างบน"
ท่านบอกให้พี่เขียนชื่อ ร.ต.ต.วรวิทย์ เป็นสีแดง ส่งไปข้างบน 4 ใบ
พี่ก็ไม่พูดให้ใครฟัง เพราะพี่กลัวแกตาย ตอนที่แกยังไม่ป่วย แกบอกว่าให้พี่ตายก่อนแก เพราะพี่ไม่มีเงินเดือนกิน เดี๋ยวเลี้ยงลูกไม่ได้
สามีพี่เป็นคนซื่อสัตย์ ซื่อตรง แม้กระทั่งอายุ 50 ปี ก็ยังไม่มีบ้านอยู่ แกถือว่าหลวงเลี้ยงจนตาย แล้วก็จะสอนลูกเมียเสมอว่าให้มีความซื่อสัตย์ที่สุด
ตอนก่อนที่แกจะตายพี่ก็บอกให้แกท่องพุทโธ พุทโธ จนขาดใจ
จิตเขาอู่กับพุทโธ และก็ยังมีความผูกพันอยู่กับครอบครัว เพราะเป็นห่วง และตั้งแต่สามีพี่เสีย พี่จะไปวัดเป็นประจำ
ทุกครั้งที่ว่างถึงไม่ใช่วันพระพี่ก็ไปทำบุญให้เขา พี่และสามีนับถือหลวงพ่อพรหม วัดโนนชัย จ.ขอนแก่น ท่านชี้แนะพี่ได้มาก
และให้หมั่นปฏิบัติธรรม ให้ทานศีล ภาวนา ท่านบอกแล้วทุกอย่างจะรู้ด้วยตนเอง แล้วตั้งแต่นั้นมา พี่ก็มีอะไรแปลกๆ เหมือนจิตรู้"
แหล่งที่มา:
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!