ศพไร้หัว


ศพไร้หัว

เรื่องราวของเด็กวัดสมัยก่อน ที่ต้องนอนเฝ้าศพในตอนกลางคืน



เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าศพที่ไม่มีหัวศพนี้ ไม่เหมือนศพที่ผ่านๆมา

สมัยที่ลุงเชนยังเป็นเด็กวัดอยู่เมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้วนั้น แกเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอยู่ครั้งหนึ่งว่า



ตอนที่แกเข้าไปอยู่กับหลวงตาใหม่ๆ เป็นช่วงที่โรคอหิวาห์


กำลังแพร่ระบาดพอดีซึ่งคนในถิ่นนั้นจะมีอัตราการตายเป็นจำนวนมาก บรรดาญาติๆก็จะนำศพมาทำพิธีบำเพ็ญกุศลกันที่วัด

เพราะคนในสมัยนั้นจะไม่นิยมจัดงานศพกันที่บ้าน ซึ่งถือกันว่าจะนำความอัปมงคลมาให้อย่างใหญ่หลวง



ศาลาที่ใช้ตั้งศพและทำพิธีแทบจะไม่มีเว้นว่างในแต่ละวัน



ศพบางรายไม่มีญาติ เด็กวัดที่มีอยู่เพียง 3-4 คนก็จะถูกหลวงตาเกณฑ์ให้มาช่วยอยู่เฝ้าศพกัน

คืนหนึ่งก่อนที่จะมีการเผาในวันรุ่งขึ้น
ลุงเชนบอกว่าคนที่ตายด้วยโรคระบาดนั้นจะเก็บศพไว้นานไม่ได้เพราะมันจะอืดและเน่าเร็ว



ที่สำคัญเชื้อโรคที่ฝังตัวอยู่ในศพอาจจะลุกลามไปติดอีกคนได้ง่าย



เด็กวัดส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและคลุกคลีอยู่กับศพเป็นประจำจึงทำให้ไม่ค่อยกลัวผี
วันนั้นลุงเชนบอกว่ามีศพชายไร้ญาติคนหนึ่ง

ถูกกลุ่มชาวบ้านส่งมาให้อยู่ในความดูแลของวัดตามปกติ
แต่ทว่าศพรายนึ้ไม่ใช่เป็นศพของคนที่ตายด้วยโรคระบาดเหมือนศพแล้วๆมา


แต่เป็นศพตายโหงที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม



สภาพศพจึงไม่สมประกอบนัก คือส่วนหัวของศพขาดวิ่นหายไป
ส่วนลำคอที่คล้ายโดนของมีคมฟันอย่างแรงนั้นมีกระดูกสีขาวโพลนส่วนหนึ่งยื่นออกมา

พร้อมเลือดสดๆ ไหลทะลักอยู่ตลอดเวลา ชวนคลื่นเหียนและหวาดกลัวยิ่งนักสำหรับผู้ที่ได้พบเห็น



ชาวบ้านที่ช่วยนำศพกันมาโจษจันกันว่าส่วนหัวของผู้ตาย



คงจะจมดิ่งอยู่ในหนองน้ำข้างทางเพราะมีคนไปพบศพตรงนั้น แต่ก็ไม่มีอาสาสมัครคนใดกล้าไปงมชิ้นส่วนนั้นขึ้นมา

เพราะระดับน้ำในลำห้วยนั้นมีความลึกไม่น้อยทีเดียว ลุงเชนบอกว่า
แกรู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นเพราะแกกับเพื่อนเด็กวัดอีกคนหนึ่งจะต้องอยู่เวรเฝ้าศพในคืนนั้น



ศพตายโหงรายนั้นแกบอกว่าหลวงตาไม่ได้ปิดฝาโรง



พร้อมคลุมผ้าขาวเหมือนรายอื่นๆ นอกจากวางศพให้นอนนับเดือนนับดาวอยู่ในหีบโล่งๆ กลางศาลาแค่นั้น

เพราะคนที่ตายด้วยอาการแบบนี้มีเคล็ดอยู่ข้อหนึ่งว่า หากชิ้นส่วนของศพที่ขาดหายไปนั้นยังไม่ถูกทำลาย


โดยการเผาไหม้มันจะกลับมาหาศพเองในเพียงชั่วคืน



ก่อนจะถึงเวลาพลบค่ำลุงเชนบอกว่าหลวงตาได้นำสายสิญจน์เสกมาให้
แกกับเพื่อนเด็กวัดอีกคนหนึ่งแขวนคอไว้คนละเส้น

พร้อมกับกำชับอีกว่าหากเห็นอะไรผิดปกติอย่างร้องทักหรือวิ่งหนีเป็นอันขาด
คืนนั้นลุงเชนบอกว่าตลอดเวลาที่แกกับเด็กวัดอีกคน


ซึ่งนั่งเป็นเพื่อนศพ



พร้อมกับต่อธูปที่พร่องก้านไปเรื่อยๆ อยู่บนศาลา ท่ามกลางแสงตะเกียงที่ส่องวับๆ แวมๆ นั้น

จะมีเสียงหมาหอนโหยหวนอยู่ตลอดเวลาเหมือนกำลังเตรียมการต้อนรับการมาเยือนของอะไรซักอย่างหนึ่ง



ขณะนั้นกำลังเป็นเวลาดึกได้ที่ แกบอกว่าเพื่อนเด็กวัดคนหนึ่ง



ดันปวดท้องหนักขึ้นมา จึงขอตัวลงไปปลดทุกข์ที่ห้องส้วมหลังกุฏิพระ
ซึ่งอยู่ถัดจากศาลาตั้งศพออกไปหลายร้อยเมตร

ลุงเชนจึงจำใจต้องนั่งต่อธูปไปคนเดียวก่อน ขณะนั่งสัปหงกอยู่นั้นแกนึกขึ้นมาได้ว่าธูปหน้าศพกำลังมอดลงอีกก้าน


แต่ความง่วงพลอยทำให้แกเผลอนอนหลับไป



แกหลับไปนานเท่าไรก็สุดจะเดาได้ สะดุ้งตัวตื่นอีกทีเมื่อเสียงหมาในวัดหอนดังขึ้นใกล้ๆ กับศาลาตั้งศพ

แกนั่งหัวโด่อยู่คนเดียวซักครู่ใหญ่ก็ชักเอะใจ
เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนเด็กวัดอีกคนหนึ่งที่ขอตัวไปห้องส้วม



ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับขึ้นมาอีก



ขณะที่แกนั่งเกร็งต้วยความหวาดกลัวอยู่นั้น ท่ามกลางความสลัวๆ ของเงาจันทร์ในคืนเดือนมืด แกก็เห็นวัตถุอะไรซักอย่างหนึ่ง ลักษณะกลมๆ เบี้ยวๆ

ลอยละลิ่วอยู่เหนือพื้นดินราว 7-8 เมตร มุ่งตรงมายังทิศทางศาลาที่แกนั่งอยู่
พร้อมกับเสียงหอนเย็นยะเยีอกของหมาในวัดดังแรงขึ้นเรื่อยๆ



ลุงเชนบอกว่าทันทีที่วัตถุประหลาดนั้นพุ่งตัวเข้ามาในระยะที่ชัดขึ้น



แกแทบหลับตาปี๋เพราะนั้นมันคือ หัวคนชัดๆ ขณะที่แกพยายามนึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วอยู่ในใจนั้น

ท่อนหัวของศพตายโหงนั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวดิ่งตรงขึ้นมาตรงศาลาตั้งศพ
ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาประจันหน้ากับแกภาพสยดสยองจึงปรากฏกับสายตาของแกอย่างเลี่ยงไม่ได้



เพราะสภาพใบหน้าของหัวศพตายโหงนั้นเต็มไปด้วยความซีดเซียว



มีเค้าของความเจ็บปวดบิดเบี้ยวเหยเกจับอยู่ ในตาทั้งสองข้างเบิกค้างแทบถลนผมเผ้ายุ่งกระเซิง

หยดน้ำและโคลนตมจับอยู่เต็มไปหมด ขณะที่แกมองดูด้วยความหวาดหวั่นว่าหัวปีศาจนั้นจะหันกลับไปหย่อนลงในโรงศพนั้นเมื่อไร



แต่ในพริบตาหัวปีศาจตายโหงก็ดันลอยหวือมาหาแกเสียนี้



"เ - ห- ว - อ- อ--อ !" ลุงเชนร้องเสียงหลงเมื่อหัวปีศาจนั้นหล่นตุ้ป ลงบนพื้นศาลาตรงหน้าแก

ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ เข้ามาหาพร้อมกับค่อยเผยอริมฝีปากซูบซีดนั้นขึ้นช้าๆ
"ธูป - หมด - อีก - ก้าน - แล้ว -น้องชาย...ฮ่าๆ...เหอะ ๆ"



ลุงเชนบอกว่าแกสลบเหมือดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะเดาได้



ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าน้ำมนต์ถังใหญ่จากมือหลวงตาถูกสาดโครมลงมาพอดี
และ

แกก็เพ้อเป็นไข้อยู่หลายอาทิตย์จนผมโกร๋นหมดหัว
หลวงตาจึงถือโอกาสบวชเณรให้แกเสีย




แหล่งที่มา:


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์