หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม สอนผีให้รับศีล
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม แห่งวัดอรัญญวิเวกบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
ท่านเป็นศิษยองค์สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่ตื้อ เป็นพระสุปฎิปันโน ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ปฎิบัติตรงต่อ
องค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย, จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้น
ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู
ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบาง หรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา
เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อ
เข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว
คำพูดของปลวงปู่ตื้อเป็นที่เลื่องลือว่าตรงไปตรงมา
จี้จุดเข้าเป้าตรงเผ็ง ถ้าจะให้อุปมาก็คง
เปรียบได้ดั่งขวานใหญ่คมกริบที่หวดกระน่ำเข้าผ่าท่อนฟืน เปรี้ยงเดียว ท่อนฟืนถูกผ่าตั้งแต่หัวยันท้าย
แยกกระเด็นเป็นสองซีกทันที
ปฎิปทาอันโลดโผนโผงผาง และตรงไปตรงมาของท่านนั้นเป็นจริตนิสัย
ที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
ผิดหรือถูกชั่วหรือดีท่านแยกแยะจนกระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเทศนาสอนคนด้วยแล้ว ท่านสอนชนิดเผ็ดร้อนถึงใจทีเดียว
หลวงปู่ตื้อมักพูดเสมอว่า
"เราเทศน์เรื่องจริง เราไม่เอาใจใคร เอาใจผู้คนก็เท่ากับเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพี เรามีความจริงใจ
เราไม่ได้เทศน์เอาบุหรี่เกล็ดทองของใคร"
เช่นครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีหมายกำหนดการไปเทศนา และอบรมกรรมฐานที่วัดอโศการาม
จังหวัดสมุทรปราการ สานุศิษย์และศรัทธาญาติโยมไปประชุมกันเนืองแน่นเต็มศาลาใหญ่
ในวันนั้นหลวงปู่ตื้อเทศนาแสดงธรรมได้กระจ่างชัด
ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง กระทั่งปริโยสาน ท่านชี้ให้เห็นตัวทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ และวิธีจะดับทุกข์ได้อย่างไร
พร้อมกันนั้นท่านยังอรรถาธิบายถึงความยึดติดยึดมั่นความเป็นตัวตนของกูตัวกูไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง
หากปล่อยวางเสียได้ จิตใจย่อมจะผ่องใส
ปลอดโปร่ง ความโกรธ ความโลภ ความหลงใดๆ ก็จะผ่อนคลายเบาบางและถึงขั้นอันตรธานสิ้นไป เหลืออยู่แต่ความเบาสบายในที่สุด
อุบาสก อุบาสิก ศรัทธาญาติโยมรับฟังแล้วและใช้ความคิดพินิจไตร่ตรองตามข้อธรรมที่ท่านแสดง
ต่างบังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
และเห็นจริงตามความเป็นจริง จิตใจเริ่มปล่อยวางจากความเป็นตัวตนของตน ไม่อยากยึดมั่นถือมั่นต่อไปอีก
อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบลง
อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้า
ธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า " หลวงปู่เจ้าค่ะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ"
"อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม"
"อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่"
หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า
"อีตอแหล!"
สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า
หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตรนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้
หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆ ไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลา หัวเราะกันครืน
เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า
อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน
นี่ละ...คือปฎิปทาโลดโผนโผงผางของหวงปู่ตื้อ
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีเหื่อนสหธรรมมิกที่สนิทกันอย่างมากรูปหนึ่ง
ท่านผู้นั้นคือ หลวงปู่แหวน สุจณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ความสนิทสนมเป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ทั้งสองนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย เนื่องจากจริตนิสัยของแต่ละท่านห่างไกลกันชนิดสุดขั้ว
หลวงปู่ตื้อเป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาและพูดเก่ง แต่หลวงปู่แหวนไม่ชอบพูด วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงพูดของท่านเลยก็ว่าได้ หากไม่มีความจำเป็นท่านจะไม่พูด ทว่าท่านทั้งสองกลับถูกอัธยาศัยกันอย่างยิ่ง
หลวงปู่ตื้อพบกับหลวงปู่แหวนครั้งแรก
ขณะที่ท่านทั้งสองเพิ่งจะเริ่มออกจาริกธุดงค์ได้ไม่นานและยังเป็นพระมหานิกายอยู่ ไปพบกันในป่าบนเทือกเขาภูพานโดยต่างฝ่ายต่างมาคนละทิศ
หลังจากท่านทั้งสองสนทนาปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปฝากตัวเป็นศิษย์
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
เพื่อศึกษาข้อธรรมกระทำความเพียงให้ถึงที่สุด เมื่อยังไม่มีวาสนาได้พบท่านพระอาจารย์ใหญ่ก็จะจาริกธุดงค์กระทำความเพียรไปเรื่อยๆ
เมื่อจะเป็นพระใหม่อ่อนพรรษา แต่พระหนุ่มทั้งสองรูปมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีความองอาจกล้าหาญที่จะจาริกไปตามป่าเขาแนวไพรเพียงรูปเดียว
เพื่อบำเพ็ญธรรมกระทำความเพียรอย่างแน่วแน่
มิได้หวั่นไหวพรั่นพรึงต่อความยากลำบากใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อหลวงปู่ทั้งสองต่างสบอัธยาศัยต่อกันยิ่ง
จึงได้ตกลงร่วมทางจาริกไปยังฝั่งลาวด้วยกัน โดยออกจากเขตไทยทางอำเภอเชียงคานข้ามแม่น้ำโขงไปสู่ราชอาณาจักรลาว สมัยนั้นแผ่นดินลาวยังมีป่าอุดมสมบูรณ์ครอบ
คลุมไปทั่วประเทศ นับเป็นสถานรื่นรมย์ของพระธุดงค์กรรมฐาน
ที่จะท่องเที่ยวจาริกไปเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม
กระทำความเพียร
เหตุการณ์เผชิญวิญญาณ ซึ่งเป็นประสบการณ์ธุดงค์ของ หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ที่จะนำมาแสดงครั้งนี้ เกิดขึ้นคราวที่ท่านทั้งสองจาริกธุดงค์ ไปยังประเทศลาวและพม่า
กระทั่งกลับคืนสู่ประเทศไทยทาง
"กอกะเรก" เข้ามายังอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก เมื่อถึงแผ่นดินไทยแล้วท่านก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่
เนื่องจากทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตอยู่ที่เชียงใหม่ เส้นทางซึ่งหลวงปู่ทั้งสองจาริกไปนั้นผ่านป่ามาโดยตลอด
ไม่พบหมู่บ้านหรือผู้คนสัญจร แม้แต่คนเดียว
ระหว่างทางพบศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่กลางป่า แสดงว่าคงมีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ศาลาแห่งนี้ชาวบ้านคงปลูกสร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทาง
หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนตกลงพักอยู่ที่ศาลานี้โดยแขวนกลดไว้ตรงมุมศาลาคนละฟาก คืนนั้นผ่านไปโดยปกติ เช้ารุ่งขึ้นท่านทั้งสองก็ออกโคจรบิณฑบาตไปที่หมู่บ้าน
ได้อาหารกลับมาที่ศาลาแล้ว พอวางบาตรลงเท่านั้น
ก็เกิดเรื่องทันที
หลวงปู่แหวนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นศาลา พลันมีกิริยาอาการผิดปกติขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ท่านเอนตัวไปข้างหน้า
เอมมือสองข้างยันพื้นกระดานไว้ ขากรรไกรแข็ง น้ำลายไหลยือ หน้าท้องก็แข็งไปหมด หลวงปู่ตื้อเห็นตอนแรกคิดว่าเพื่อน สหธรรมมิกเป็นลม จึงถามไปว่า
"ท่านแหวนเป็นอะไร"
หลวงปู่แหวนไม่ตอบ ได้แต่นั่งตัวแข็ง
น้ำลายไหลไม่หยุด คราวนี้หลวงปู่ตื้อ ฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงกำหนดจิตเข้าสมาธิพิจารณาดูก็รู้ว่ามีผีบังอาจกระทำฤทธิ์กับหลวงปู่แหวน
เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิแล้วหลวงปู่ตื้อยังไม่รู้จะกำราบปราบผีด้วยวิธีไหน เนื่องจากขณะนั้นท่านกับหลวงปู่แหวนยังฝึกจิต ไม่ถึงขึ้นมีอำนาจกล้าแข็งเท่าไหร่ วิชาอาคมอะไรก็ไม่ได้เรียนมา
แต่จะให้หลวงปู่ตื้อยอมพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์อำนาจภูตผี
วิญญาณง่ายๆ ย่อมมิใช่วิสัยของท่าน หลวงปู่จึงข่มขู่ด่าว่าผีที่กำลังกระทำต่อหลวงปู่แหวนไม่ยั้งกันหละ
แต่ผีมันไม่กลัวท่านเอาเสียเลย หลวงปู่ตื้อต้องหาอุบายใหม่ จัดแจงหอบ ใบไม้แห้งมากองไว้แล้วจุดไฟ
พอไฟลุกท่านก็เอาก้อนดินแห้งใส่เข้าไป
เผาจนร้อน แล้วเอาไม้มาทำเป็น ไม้หนีบคีบดินร้อนๆ ขึ้นมา พลางขู่ผีเสียงดังลั่นว่า
"คราวนี้ ถ้าเจ้าไม่ออกจากร่างพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรมละก้อเราจะเผาเจ้า"
ยื่นไม้หนีบก้อนดินร้อนฉ่าไปใกล้ๆ หน้าหลวงปู่แหวนเพื่อนข่มขู่ผีที่เข้าสิงท่าน แต่ผีมันยังไม่กลัวอีก
ขัดใจขึ้นมาหลวงปู่ตื้อไม่คิดแค่ขู่แล้ว
หากเอาจริงๆ
"หากเจ้าไม่ออก เราจะเผาเจ้าด้วยดินจี่นี่ให้ดู"
ว่าแล้วหลวงปู่ตื้อก็เอาดินเผาไฟร้อนฉ่าวางลงบนศรีษะหลวงปู่แหวนจริงๆ ผีเจอเข้าแบบนี้มันถึงกับยอมออกไป
หลวงปู่แหวนจึงกระดุกกระดิกได้
เมื่อรู้ตัวเป็นปกติแล้วหลวงปู่แหวนบอกแก่เพื่อนสหธรรมมิกของท่านสั้นๆ ว่า " มันเอาผมตายจริงๆ นะ ท่านตื้อ"
เช้าวันนั้น หลังจากฉันเสร็จ ล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่แหวนเก็บอัฐบริขารเพื่ออกจาริกต่อไป
แต่หลวงปู่ตื้อไม่ยอมไป ท่านบอกกับหลวงปู่
แหวนว่า
"ท่านแหวนไปรอข้างหน้านะ ผมจะจัดการกับผีตนนี้สักหน่อย"
หลวงปู่แหวนไม่ยอมอยู่ด้วย เก็บอัฐบริขารเสร็จก็เดินล่วงหน้าไปเพียงลำพัง ปล่อยให้หลวงปู่ตื้อรับมือกับผี ที่ศาลากลางป่าเพียงรูปเดียว
ตลอดวันนั้นหลวงปู่ตื้อนั่งเจริญสมาธิ
เดินจงกรมอยู่ศาลา กลางป่าเป็นปกติ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสายัณห์สมัย ท่านก็ทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจของสงฆ์
จากนั้นจึงเข้าที่ภาวนาภายในกลด กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิตามลำดับ เมื่อ จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวก็บังเกิดแสงโอภาสสว่างไสวไปทั่ว
ขณะอยู่ในสมาธิได้เกิดนิมิตเป็นผีผู้หญิงผุดขึ้นมาเบื้องหน้า
และผีตนนั้นก็ดิ่งเข้ามาหาหลวงปู่ตื้อด้วยกิริยาไม่น่าไว้วางใจ วิสัยของหลวงปู่ตื้อท่านไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดอยู่แล้ว
เมื่อเห็นผีตรงรี่เข้ามาหาท่านจึงเพิ่งจิตเข้าหยุดมันให้ชะงักงัน แล้วท่านก็ถามว่า " เจ้ามาจากไหน จึงกล้าล่วงเกินต่อพระภิกษุผู้ทรงศีล"
ผีนางนั้นตอบว่า "ฉันตายทั้งกลม ลูกตายทั้งกลม
ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่"
หลวงปู่ตื้อถามอีกว่า "เจ้าใช่ไหมที่กระทำต่อพระภิกษุ" ผีก็รับว่า "ใช่"
ท่านถามต่อไปอีกว่า " ทำไมบังอาจกระทำเช่นนั้น ไม่รู้หรือว่าเป็นบาปกรรม"
ผีตอบว่า "ฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวยดี ฉันจะเอาพระรูปนั้นไปเป็นผัว"
หลวงปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็เกิดความสลดสังเวช
พิจารณาเห็นภัยแห่งกามกิเลส ซึ่งร้อยรึดมัดตรึงจิตใจของสัตว์โลกให้ตกต่ำมืดอยู่กับดำกฤษณา ไม่รู้ดีรู้ชั่วถึงเพียงนี้ ดูเช่นผีตายทั้งกลมนางนี้เอาเถิด
ขนาดตายไปผุดเกิดอยู่ในภูมิอัน เป็นทุกข์ ก็ยังไม่วายจะเกิดอารมณ์ปฎิพัทธ์รักใคร่พระภิกษุที่ตนพึงใจอย่างหน้ามืดตามัว
ไม่กลัวบาปกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
หลวงปู่ตื้อเห็นนางผีมีอกุศลเช่น ท่านจึงว่ากล่าวให้รู้ว่าเจตนา และการกระทำของมัน ที่ล่วงเกินพระภิกษุผู้กำลังบำเพ็ญสมณธรรม
เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฎเช่นนี้เป็นบาปกรรมอันหนักยิ่ง ตนเองเป็นผีเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาสาหัสอยู่แล้วยังอยากจะตกนรกหมกไหม้
หนักเข้าไปกว่าเดิมอีกหรือ
หลังจากชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษแล้ว หลวงปู่ตื้อก็ให้ผีตายทั้งกลมรับศีลไปปฎิบัติรักษา เพื่อจะได้มีโอกาสไปผุดเกิดในภพภูมิอันประเสริฐยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
นี่ละ คือ หลวงปู่ตื้อ แม้แต่ผีท่านก็ยังให้รับศีลจนได้
ผีตายทั้งกลมนางนั้นหลังจากได้รับการอบรมจากหลวงปู่ตื้อ
มิจฉาทิฐิก็ผ่อนคลายลง เริ่มรู้ดีรู้ชั่วมากข้นกว่าเดิม ผีสารภาพว่าไม่รู้หลวงปู่แหวนเป็นพระภิกษะ เห็นท่านสวย ผิวขาวผ่องใส ก็เกิดนึกรักอยากจะให้มาอยู่ด้วยกัน
แสดงว่าขณะที่ผีตนนั้นเป็นมนุษย์
คงไม่รู้จักพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นคนบ้านป่าถิ่นเถื่อนห่างไกลความเจริญอย่างแท้จริง
หลวงปู่ตื้อพักอยู่ที่ศาลาแห่ง นี้ เป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ผีตายทั้งกลมสม่ำเสมอ และสอนนางผีตนนั้น
ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ กระทั่งจิตวิญญาณอ่อนโยนลง
คร้นเห็นผีเกิดกุศลความดีขึ้นในจิตพอสมควรแล้วจึงสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า
"ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่างกระทำล่วงเกินพระธุดงค์ที่จาริกผ่านมาเป็นอันขาด เห็นท่านพบท่านจงอนุโมทนาสงเคราะห์ทุกรูป ทุกองค์ไป"
จากนั้นหลวงปู่ตื้อก็เก็บอัฐบริขารจาริกออกจากศาลากลางป่าติดตามหลวงปู่แหวนไปที่เชียงใหม่
เมื่อพบหลวงปู่แหวนแล้วท่านทั้งสองพากันไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่เชียงใหม่ และถวายตัวเป็นศิษย์ท่านตั้งแต่บัดนั้น......
แหล่งที่มา:
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!