ลางมรณะ


ลางมรณะ

"บุญส่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยองครักษ์ในอดีต

เชื่อกันว่า คนทุกคนก่อนจะสิ้นอายุขัย มักจะมีสัญญาณหรือลางบอกเหตุล่วงหน้าว่าจะตาย เป็นการตักเตือนว่ากำลังจะประสบชะตากรรมร้ายกาจเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต

คนโบราณส่วนมากมักจะพบกับลางร้ายก่อนตาย ไม่ว่าจะสะเดาะเคราะห์ เช่น การปล่อยนก ปล่อยปลา หรือการทำบุญ ถวายสังฆทาน นิมนต์พระมาบังสุกุลคนเป็น แม้แต่ลงทุนเข้าไปนอนในโลงศพก็ตาม ล้วนแต่ไม่อาจจะหลบหนีเงื้อมมือของพญามัจจุราชได้สำเร็จ

หลายๆ คนก็ปลงตก ทำใจเสียว่าลางร้ายที่ได้ประสบนั้นเป็นสิ่งตักเตือน เพื่อให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้พบกับมรณะที่จะมาเยือนในเร็ววัน

สมัยหนุ่มผมเคยประสบลางร้ายน่าสยดสยอง นึกถึงแล้วยังทำให้ขนหัวลุกมาจนถึงทุกวันนี้!

สมัยนั้น ตั้งแต่ซอยองครักษ์ บางกระบือไปยันวัดประชาระบือธรรม ใกล้ๆ กับถนนพระรามห้า มีบ้านเรือนใหญ่น้อยคับคั่งตั้งแต่ปากซอยเข้าไป ตอนกลางวันมีผู้คนค่อนข้างหนาตา แต่พอตกค่ำก็ตกอยู่ในความเปล่าเปลี่ยว บรรยากาศเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจ ไม่ค่อยมีใครออกมาเดินเหินให้เห็น นอกจากหมาจรจัดที่คอยเห่าหอนให้น่ากลัวแทบจะทั่วทั้งซอย

คนที่จำใจต้องเดินเข้าบ้านก็มีแต่พวกนักเลงไพ่กับขี้เมาเท่านั้นเอง!

พูดถึงนักเลงไพ่กับขี้เมาแล้ว ในย่านนั้นไม่มีใครเกินหน้าตาโต๊ะกับลุงแก่นไปได้

ตาโต๊ะอ้วนเตี้ย ผมขาวโพลนสั้นเกรียน อายุห้าสิบเศษ ส่วนลุงแก่นผอมดำ ผมดก นัยน์ตาดุ อายุน้อยกว่าตาโต๊ะราวสิบปีเห็นจะได้ แต่คบหาพาใจกันสนิทสนม ชนิดที่เห็นตาโต๊ะที่ไหนเป็นต้องเห็นลุงแก่นที่นั่น

ตอนบ่ายแก่ๆ ลุงแก่นจะเดินออกจากบ้านแถวหลังวัด มาหาตาโต๊ะที่อยู่ติดกับบ้านผม ก่อนจะพากันไปซดเหล้าโรงหรือเชี่ยงชุนที่ร้านเจ๊กตงเป็นการอุ่นเครื่อง แล้วก็พากันเข้าบ่อนเล็กบ่อนน้อยในละแวกนั้น...ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ถึงจะชวนกันไปที่บ่อนตีตั๋วแถวหน้าวัดจันทรสโมสร ตรงข้ามตลาดบางกระบือ

บ่อนเลิกก็แวะร้านเหล้าปากซอยหรือไม่ก็หน้าโรงหนัง ก่อนจะเดินตุปัดตุเป๋กลับบ้าน หมูหมาเห่าหอนกันให้เกรียวกราวจนกว่าแกจะผ่านเลยไป

บางวันผมกลับจากโรงเรียนมาก็สวนทางสองเกลอที่เพิ่งจะพากันเดินไปที่ร้านเจ๊กตง หน้าตาดูกระหยิ่มยิ้มย่องทั้งคู่..มองดูเงาที่ทอดยาวไปข้างหลังแล้วอดขำไม่ได้จริงๆ ครับ

เงาหนึ่งอ้วนเตี้ย แต่อีกเงาหนึ่งกลับผอมยาว..เหมือนเสาไฟฟ้าคู่กับโอ่งมังกร!

วันหนึ่งก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าชนิดจังๆ

วันนั้นผมหิ้วกระเป๋าหนังสือกลับจากโรงเรียนมาแวะซื้อขนมที่ร้านเจ๊กตง ก็พอดีสวนทางกับคนทั้งสอง..เสียงหมาจรจัดเห่าเบาๆ แล้วโก่งคอขึ้นหอนโหยหวน รับกันเป็นทอดๆ ดังขรมไปทั้งซอยจนน่าวังเวงใจสิ้นดี

"หอนหาห่..อะไรวะ ไอ้หมาริยำ!" เสียงลุงแก่นร้องด่าอย่างขุ่นเคือง ทำให้ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ..

เงาอ้วนๆ สั้นๆ ของตาโต๊ะกำลังจะเลี้ยวเข้าไปในร้านเหล้าอยู่แล้ว..แต่ไม่มีเงายาวๆ ของลุงแก่นที่เคยตีคู่กันมาเหมือนเคย!

ตอนแรกผมนึกว่าตัวเองตาฝาด ครั้นจ้องมองอีกทีก็เห็นแต่เงาอ้วนๆ ลับหายเข้าไปในร้าน โดยไม่มีเงายาวๆ ของลุงแก่นอย่างแน่นอน..เล่นเอาขนลุกซ่าไปทั้งตัว ปากคอแห้งผากไปหมด รีบเดินเข้าบ้านพลางจ้องมองเงาของตัวเองด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังเหมือนโดนผีหลอกอย่างจังๆ

รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าลุงแก่นตายแล้ว..

มีคนพบร่างของแกนอนคว่ำหน้าอยู่ริมทางเดินที่มีดงกล้วยดกหนา เมื่อพลิกศพขึ้นมาก็เห็นใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาลืมค้าง เบิกโพลง..ร่างกายไม่มีบาดแผลใดๆ เชื่อกันว่าแกเมาจนหกล้ม หัวใจวายตายเพราะเสพสุรามากเกินไป

ตาโต๊ะเล่าว่า เมื่อคืนรวยไพ่มาด้วยกันเลยแวะร้านข้าวต้มหน้าโรงหนัง สั่งเชี่ยงชุนมาฉลองกันเต็มคราบ ก่อนจะเดินตุปัดตุเป๋กลับบ้าน..ร่ำลากันที่หน้าบ้านตาโต๊ะ แล้วลุงแก่นก็โซซัดโซเซมุ่งหน้าไปทางก้นซอย เสียงหมาหอนโหยหวนจนลุงแก่นร้องด่าไปตลอดทาง

"ตอนที่ไอ้แก่นมันร่ำลาข้าแล้วเดินไปน่ะ ข้าคงจะตาฝาดไปเอง..ไฟฟ้าออกสว่างแต่ไอ้แก่นไม่ยักมีเงาหรอกว่ะ"

ตาโต๊ะเล่า..เล่นเอาผมขนหัวลุก เพราะรู้ดีว่าแกไม่ได้ตาฝาด แต่เป็นลางมรณะของลุงแก่นที่เจ้าตัวไม่ได้เห็นเองน่ะซีครับ! บรื๋อออ...


ขอบคุณบทความจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์