วิญญาณหลงทาง
"อรทัย"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนระนอง
สมัยสาวๆ ดิฉันชอบอ่านเรื่องผีและดูหนังผีมากค่ะ ใครมาเล่าเรื่องผีก็ชอบฟัง บางเรื่องก็น่ากลัวอยู่หรอก แต่หลายๆ เรื่องได้ยินแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่าขำกลิ้งเลยล่ะค่ะ เพราะมันเหมือนเรื่องตลกมากกว่า
ประเภทผีมาตากลวงโบ๋ หัวกะโหลกอ้าปากปะหงับๆ พลางส่งเสียงหัวเราะแหบโหย หรือไม่ก็แหกอกคว้าก...เห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง คิดแล้วเหมือนหนังเรื่อง "กระสือสาว" ไม่มีผิด...จนกระทั่งวันหนึ่งดิฉันก็ได้ประสบกับตัวเองอย่างจังๆ
ยอมรับว่านึกแล้วยังขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!
เมื่อราว 5-6 ปีมาแล้ว ดิฉันเคยอยู่ถนนระนอง ที่แยกจากถนนพระราม 5 ระหว่างราชวัตรกับสะพานแดง บ้านเรือนน้อยใหญ่คับคั่ง มีร้านชำ ร้านกาแฟ ร้านเสริมสวยครบครัน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านก็ล้วนแต่รักใคร่ชอบพอกันเหมือนญาติ ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
ถ้าจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดก็คือรถราที่แล่นผ่านไปมารวดเร็วมาก อาจจะเป็นเพราะถนนค่อนข้างโล่งก็เป็นได้
และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดรถชนกันบ้าง ชนคนบ้าง บาดเจ็บเล็กน้อยก็มี ขนาดสาหัสก็มาก...ร้ายแรงจนถึงตายก็ไม่ใช่น้อย!
ไม่ว่ารถเก๋ง ปิกอัพ กระบะ ตุ๊กตุ๊กหรือมอเตอร์ไซค์ ล้วนแต่เคยเกิดอุบัติเหตุทั้งนั้น...คนเจ็บคนตายมีทั้งคนย่านนี้และคนจากที่อื่น ที่บังเอิญขี่มอเตอร์ไซค์มาบ้าง นั่งตุ๊กตุ๊กมาบ้าง แม้แต่คนที่เดินริมทางหรือจะข้ามถนนก็มีค่ะ
ที่รู้จักก็มีป้าจันทร์ตายคาที่ พี่ป่องไปตายโรงพยาบาล ลุงปั่นกลายเป็นอัมพาตได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน น้าหวานต้องกลับมาหยอดน้ำข้าวต้มอยู่นับเดือนกว่าจะค่อยทุเลา
รายล่าสุดเป็นเด็กผู้ชายวัยสิบขวบเศษ ซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับพ่อ ชนเข้ากับตุ๊กตุ๊กที่เพิ่งออกจากอู่ พ่อไม่เป็นไรมาก แต่เด็กชายตายคาที่ ส่วนคนขับตุ๊กตุ๊กก็อาศัยความชุลมุนหลบหนีไป...ดิฉันไม่ได้เห็นเหตุการณ์เองหรอกค่ะเพราะยังอยู่ที่ทำงาน แต่ฟังเขาเล่าว่าพ่อกอดศพลูกร้องไห้โฮเหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือด...
น่าแปลกอย่างที่หลังจากเกิดเหตุสยองนี้มาได้เกือบสองเดือน ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นอีกเลย!
ชาวบ้านอย่างพวกเราย่อมโล่งอกโล่งใจเป็นธรรมดา เวลาพบปะกันตามร้านค้าร้านทำผม หรือไปมาหาสู่กันก็ได้พูดคุยกันเรื่องอื่นๆ เช่นเรื่องสามี เรื่องการทำมาหากิน...แหม! การซุบซิบนินทาอะไรน่ะถือว่าเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงเรานะคะ
คืนหนึ่งก็เกิดเหตุสยองขวัญ...
พี่อ้อยจัดงานวันเกิดให้สามีคือพี่อรัญ บ้านอยู่เยื้องๆ กับดิฉัน เป็นงานเลี้ยงแบบกันเอง พวกเพื่อนๆ ช่วยกันทำอาหารที่บ้าน บ้างก็ไปหาซื้อของอร่อยๆ มาจากราชวัตร ฝ่ายสามีพวกเราก็หิ้วเหล้าไปเป็นของขวัญ...เจ้าภาพก็นำมาเปิดเลี้ยงดูกันครึกครื้นตั้งแต่ตอนเย็น
ครั้นตกค่ำก็เกิดฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว พวกที่ตั้งวงอยู่นอกบ้านก็ช่วยกันขนของมาสมทบกันข้างใน ส่วนมากบ้านช่องก็อยู่ละแวกนั้นจึงไม่เดือดร้อน ยกเว้นแต่เพื่อนเจ้าภาพที่อยู่ไกลๆ ออกจะลำบากหน่อย
เกือบสามทุ่มแน่ะค่ะ ฝนถึงค่อยซาเม็ด...พวกอยู่ไกลก็ทยอยกันกลับ น่าเห็นใจตรงที่ถนนลื่น รถติดมาก พวกอยู่ที่ถนนระนองก็ครึกครื้นกันต่อจนค่อยๆ ทยอยกลับแม้ว่าฝนเพิ่งจะซา พี่อ้อยตระเตรียมร่มเอาไว้ให้เพื่อน 2-3 คันสำหรับกางกลับบ้านด้วยกัน
จนกระทั่งสี่ทุ่มเศษ ดิฉันกับน้องแป๋มที่บ้านอยู่ใกล้กันก็ลากลับ
ฟ้าฉ่ำแต่ฝนหายขาดแล้ว ไฟถนนส่องแสงเยือกเย็นเห็นความเปียกโชกสะท้อนแสงไฟจากหน้ารถเป็นเงาวับ...เราเดินไปสักพักก็ข้ามถนนโล่งว่างที่ใกล้จะถึงบ้านอยู่รอมร่อ...
ทันใดนั้น น้องแป๋มก็ชะงักเท้าทำให้ดิฉันหันมองอย่างสงสัย เห็นเธอกำลังเบิกตากว้างจ้องมองอะไรบางอย่าง เมื่อมองตามสายตาเธอไปก็เห็นร่างของเด็กชายวัยสิบขวบ เปียกโชกไปทั้งตัวกำลังเดินช้าๆ อยู่ถัดไปจากเราไม่เกินสิบก้าว พลางเหลียวซ้ายแลขวาไปด้วย
"เด็กหลงทางมาจากไหนนะ?" ดิฉันพึมพำ แต่น้องแป๋มตอบเสียงสั่นเครือว่า...ไม่ได้หลงทางหรอกค่ะ เด็กที่ตกมอเตอร์ไซค์ลงมาตายเดือนก่อนไง!
"ฮ้า..." ดิฉันอุทาน ยกมือปิดปาก เห็นเด็กชายหน้าเศร้าๆ ผู้นั้นหันมามองอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาเปียกชุ่มเห็นชัดอยู่ในแสงไฟ...บางสิ่งบางอย่างในดวงตานั้นทำให้ดิฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
น้องแป๋มกระชากแขนดิฉันออกวิ่งโดยไม่กลัวความลื่นของถนน...เมื่อหันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นร่างผอมๆ เด็กชายคนนั้นเสียแล้วค่ะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
สมัยสาวๆ ดิฉันชอบอ่านเรื่องผีและดูหนังผีมากค่ะ ใครมาเล่าเรื่องผีก็ชอบฟัง บางเรื่องก็น่ากลัวอยู่หรอก แต่หลายๆ เรื่องได้ยินแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่าขำกลิ้งเลยล่ะค่ะ เพราะมันเหมือนเรื่องตลกมากกว่า
ประเภทผีมาตากลวงโบ๋ หัวกะโหลกอ้าปากปะหงับๆ พลางส่งเสียงหัวเราะแหบโหย หรือไม่ก็แหกอกคว้าก...เห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง คิดแล้วเหมือนหนังเรื่อง "กระสือสาว" ไม่มีผิด...จนกระทั่งวันหนึ่งดิฉันก็ได้ประสบกับตัวเองอย่างจังๆ
ยอมรับว่านึกแล้วยังขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!
เมื่อราว 5-6 ปีมาแล้ว ดิฉันเคยอยู่ถนนระนอง ที่แยกจากถนนพระราม 5 ระหว่างราชวัตรกับสะพานแดง บ้านเรือนน้อยใหญ่คับคั่ง มีร้านชำ ร้านกาแฟ ร้านเสริมสวยครบครัน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านก็ล้วนแต่รักใคร่ชอบพอกันเหมือนญาติ ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
ถ้าจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดก็คือรถราที่แล่นผ่านไปมารวดเร็วมาก อาจจะเป็นเพราะถนนค่อนข้างโล่งก็เป็นได้
และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดรถชนกันบ้าง ชนคนบ้าง บาดเจ็บเล็กน้อยก็มี ขนาดสาหัสก็มาก...ร้ายแรงจนถึงตายก็ไม่ใช่น้อย!
ไม่ว่ารถเก๋ง ปิกอัพ กระบะ ตุ๊กตุ๊กหรือมอเตอร์ไซค์ ล้วนแต่เคยเกิดอุบัติเหตุทั้งนั้น...คนเจ็บคนตายมีทั้งคนย่านนี้และคนจากที่อื่น ที่บังเอิญขี่มอเตอร์ไซค์มาบ้าง นั่งตุ๊กตุ๊กมาบ้าง แม้แต่คนที่เดินริมทางหรือจะข้ามถนนก็มีค่ะ
ที่รู้จักก็มีป้าจันทร์ตายคาที่ พี่ป่องไปตายโรงพยาบาล ลุงปั่นกลายเป็นอัมพาตได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน น้าหวานต้องกลับมาหยอดน้ำข้าวต้มอยู่นับเดือนกว่าจะค่อยทุเลา
รายล่าสุดเป็นเด็กผู้ชายวัยสิบขวบเศษ ซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับพ่อ ชนเข้ากับตุ๊กตุ๊กที่เพิ่งออกจากอู่ พ่อไม่เป็นไรมาก แต่เด็กชายตายคาที่ ส่วนคนขับตุ๊กตุ๊กก็อาศัยความชุลมุนหลบหนีไป...ดิฉันไม่ได้เห็นเหตุการณ์เองหรอกค่ะเพราะยังอยู่ที่ทำงาน แต่ฟังเขาเล่าว่าพ่อกอดศพลูกร้องไห้โฮเหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือด...
น่าแปลกอย่างที่หลังจากเกิดเหตุสยองนี้มาได้เกือบสองเดือน ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นอีกเลย!
ชาวบ้านอย่างพวกเราย่อมโล่งอกโล่งใจเป็นธรรมดา เวลาพบปะกันตามร้านค้าร้านทำผม หรือไปมาหาสู่กันก็ได้พูดคุยกันเรื่องอื่นๆ เช่นเรื่องสามี เรื่องการทำมาหากิน...แหม! การซุบซิบนินทาอะไรน่ะถือว่าเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงเรานะคะ
คืนหนึ่งก็เกิดเหตุสยองขวัญ...
พี่อ้อยจัดงานวันเกิดให้สามีคือพี่อรัญ บ้านอยู่เยื้องๆ กับดิฉัน เป็นงานเลี้ยงแบบกันเอง พวกเพื่อนๆ ช่วยกันทำอาหารที่บ้าน บ้างก็ไปหาซื้อของอร่อยๆ มาจากราชวัตร ฝ่ายสามีพวกเราก็หิ้วเหล้าไปเป็นของขวัญ...เจ้าภาพก็นำมาเปิดเลี้ยงดูกันครึกครื้นตั้งแต่ตอนเย็น
ครั้นตกค่ำก็เกิดฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว พวกที่ตั้งวงอยู่นอกบ้านก็ช่วยกันขนของมาสมทบกันข้างใน ส่วนมากบ้านช่องก็อยู่ละแวกนั้นจึงไม่เดือดร้อน ยกเว้นแต่เพื่อนเจ้าภาพที่อยู่ไกลๆ ออกจะลำบากหน่อย
เกือบสามทุ่มแน่ะค่ะ ฝนถึงค่อยซาเม็ด...พวกอยู่ไกลก็ทยอยกันกลับ น่าเห็นใจตรงที่ถนนลื่น รถติดมาก พวกอยู่ที่ถนนระนองก็ครึกครื้นกันต่อจนค่อยๆ ทยอยกลับแม้ว่าฝนเพิ่งจะซา พี่อ้อยตระเตรียมร่มเอาไว้ให้เพื่อน 2-3 คันสำหรับกางกลับบ้านด้วยกัน
จนกระทั่งสี่ทุ่มเศษ ดิฉันกับน้องแป๋มที่บ้านอยู่ใกล้กันก็ลากลับ
ฟ้าฉ่ำแต่ฝนหายขาดแล้ว ไฟถนนส่องแสงเยือกเย็นเห็นความเปียกโชกสะท้อนแสงไฟจากหน้ารถเป็นเงาวับ...เราเดินไปสักพักก็ข้ามถนนโล่งว่างที่ใกล้จะถึงบ้านอยู่รอมร่อ...
ทันใดนั้น น้องแป๋มก็ชะงักเท้าทำให้ดิฉันหันมองอย่างสงสัย เห็นเธอกำลังเบิกตากว้างจ้องมองอะไรบางอย่าง เมื่อมองตามสายตาเธอไปก็เห็นร่างของเด็กชายวัยสิบขวบ เปียกโชกไปทั้งตัวกำลังเดินช้าๆ อยู่ถัดไปจากเราไม่เกินสิบก้าว พลางเหลียวซ้ายแลขวาไปด้วย
"เด็กหลงทางมาจากไหนนะ?" ดิฉันพึมพำ แต่น้องแป๋มตอบเสียงสั่นเครือว่า...ไม่ได้หลงทางหรอกค่ะ เด็กที่ตกมอเตอร์ไซค์ลงมาตายเดือนก่อนไง!
"ฮ้า..." ดิฉันอุทาน ยกมือปิดปาก เห็นเด็กชายหน้าเศร้าๆ ผู้นั้นหันมามองอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาเปียกชุ่มเห็นชัดอยู่ในแสงไฟ...บางสิ่งบางอย่างในดวงตานั้นทำให้ดิฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
น้องแป๋มกระชากแขนดิฉันออกวิ่งโดยไม่กลัวความลื่นของถนน...เมื่อหันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นร่างผอมๆ เด็กชายคนนั้นเสียแล้วค่ะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!