โพธิ์ 3 ต้น
"ปวัตน์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของนักจ๊อกกิ้ง
ผมเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถวยมราชนี่เองครับ สมัยก่อนถือว่าเป็นชุมทางโรงหนังตั้งแต่โคลีเซียม กับปารีสและแอมบาสเดอร์ทางสะพานขาว แต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว
ก่อนจะไปทำงานที่ถนนราชดำเนิน ผมต้องออกไปวิ่งเรียก เหงื่อซะก่อน ทำให้หัวใจเต้นแรง สูบฉีดเลือดได้เต็มที่ กล้าม เนื้อแข็งแรงไม่อ่อนปวกเปียก วิ่งราวสิบนาทีก็ได้เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ขับของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะไขมันส่วนเกินที่มีแต่คนรังเกียจ
ข้อสำคัญก็คือเมื่อวิ่งไปได้ราวสามสิบนาที จะมีสารเอนดอร์ ฟีนหลั่งออกมา เป็นสารเสพติดครับ แต่อย่าตกใจ เพราะเป็น สารแห่งความสุข ผิดกับยาเสพติดที่มีพิษร้ายทุกๆ ชนิด
เชื่อได้เลยว่า ถ้าใครได้สารชนิดนี้จะมีความสุขสดชื่น สุขภาพกายและใจดีวิเศษที่สุด อ้าว? แล้วทำไมเรียกว่าสารเสพติดล่ะ?
อ๋อ! ก็เพราะถ้าขาดสารชนิดนี้จะทำให้อารมณ์บ่จอย หงุด หงิดขุ่นมัวไปทั้งวันน่ะซีครับ เพราะงั้นนักวิ่งและนักเดินเร็ว สำหรับผู้สูงอายุทั้งหลาย จึงไม่ยอมละเว้นกิจกรรมที่ว่าอย่างเด็ดขาด นอกจากจะติดธุระจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
เรื่องขนหัวลุกน่ะหรือครับ?
แหม! ผมเคยได้ยินมาเยอะเหมือนกันตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆ หรือเมื่อเกือบสิบปีก่อน คือมีนักจ๊อกกิ้งสองสามคนที่เขาเลิกราไปเพราะว่าโดนผีหลอกน่ะซี!
จริงเท็จไม่ทราบ แต่เขาเล่าว่ากำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ดีๆ ก็เห็นสาวสวยนุ่งขาสั้นสวมเสื้อยืดวิ่งอยู่ข้างหน้า หุ่นเจ๋งซะจนต้องวิ่งเข้าไปใกล้ๆ แต่เร่งสปีดเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซักที ในที่สุดชักเอะใจ ร้องตะโกนไปว่าคุณๆๆ รอเดี๋ยวก่อน! เธอเลยหันขวับ มามองเป็นครั้งแรก
โห...โลกแทบจะถล่มทลายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ไปเลย เพราะใบหน้าของสาวหุ่นเจ๋งนั่นกลับเหี่ยวย่นเป็นคนแก่อายุเกือบร้อยปี แถมฉีกยิ้มจนเห็นเหงือกแดงแจ๋...เล่นเอาเบรกพรืด ชนิดถ้าเป็นรถยนต์ก็ต้องเรียกว่ายางแทบไหม้เชียวล่ะ!
หันกลับได้ก็วิ่งเตลิดกลับบ้านไม่คิดชีวิต คราวนี้เร่งสปีดปานจะเย้ยนักวิ่ง 100 เมตรให้ได้อายก็แล้วกัน
อีกรายบอกว่ามีคนก้มหน้างุดๆ วิ่งสวนมาตอนเช้าตรู่ ยังไม่ถึงกับสว่างเพราะไฟถนนเปิดอยู่...แต่พอเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่าหมอนั่นไม่ได้ก้มหน้าหรอก แต่ไม่มีหัวต่างหากล่ะ...
เลยเลิกเป็นนักวิ่งไปอีกราย!
ผมเองไม่ค่อยสนใจหรอกครับเรื่องผีๆ สางๆ จนกระทั่งจ๊ะเอ๋เข้ากับตัวเองจังๆ
วันนั้นผมออกจ๊อกกิ้งราวหกโมงเช้าไปทางสวนจิตรฯ ขนานกับทางรถไฟ แต่คนละฝั่งถนนนะครับ...มีเพื่อนนักวิ่งที่คุ้นๆ หน้ากันสองสามคนวิ่งนำหน้าบ้าง วิ่งสวนมาบ้าง...โบก มือทัก ทายกันก่อนจะวิ่งไปเรื่อยๆ จนเหงื่อเริ่มซึมแผ่นหลัง
ราว 15 นาทีได้ ผมก็วิ่งมาถึงโพธิ์ 3 ต้นพอดี!
ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ข้างถนนทางด้านซ้าย 2 ต้นแรกอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ต้นที่ 3 ขึ้นห่างออกไปหน่อย มีผ้าเหลืองผ้าแดงเก่าๆ พันโคนต้นตามระเบียบ...ผมวิ่งผ่านมาเป็นร้อยหนแล้วนี่ครับ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร...แต่วันนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมา?
พอผมวิ่งผ่านต้นแรกก็เห็นผู้ชายโผล่ออกมาจากโคนโพธิ์ แล้ววิ่งเหยาะๆ ตามหลังมา ผมอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ จนกระทั่งผ่านต้นที่สองก็มีผู้ชายโผล่ออกมาวิ่งตามอีกคน...เอ๊ะ! ชักจะยังไง?
ครั้นถึงโพธิ์ต้นสุดท้าย คราวนี้มีผู้หญิงโผล่ออกมาจากโคนต้นอีกแล้ว รวมเป็น 3 คนที่วิ่งเหยาะๆ ตามผมมา...ทุกคนอยู่ในชุดนักกีฬาเหมือนนักจ๊อกกิ้งส่วนใหญ่ทั่วๆ ไป
คราวนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ผมผ่อนฝีเท้าจนแทบจะหยุด นิ่ง หันไปมองก็เห็นนักวิ่ง 1 หญิง 2 ชายที่ออกมาจากโคนโพธิ์ ชัดๆ ไม่ได้สนใจไยดีผมเลย แต่วิ่งผ่านผมไปเหมือนร่างกายโปร่งใสเป็นอากาศยังงั้นแหละ เล่นเอาผมมองตามตาค้าง หน้าชาเห่อ หลังเย็นเฉียบเหมือนถูกสาดด้วยน้ำแช่น้ำแข็ง ถังใหญ่
ก่อนจะถึงทางแยกข้างหน้า ใกล้ๆ กับโพธิ์ต้นที่ 3 ร่างของนักวิ่งทั้ง 3 คน เอ๊ย! 3 ตน ก็ละลายกลายเป็นอากาศธาตุไปต่อหน้าต่อตา
ผมหันหลังกลับซีครับ...คราวนี้ใส่สปีดเร็วจี๋ไม่คิดชีวิต กว่าจะถึงบ้านก็หอบแฮกๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ...ต่อจากนั้นผมก็เปลี่ยนเส้นทางไปแถวสะพานขาวแทนเพราะไม่อยากช็อกตายน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
ผมเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถวยมราชนี่เองครับ สมัยก่อนถือว่าเป็นชุมทางโรงหนังตั้งแต่โคลีเซียม กับปารีสและแอมบาสเดอร์ทางสะพานขาว แต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว
ก่อนจะไปทำงานที่ถนนราชดำเนิน ผมต้องออกไปวิ่งเรียก เหงื่อซะก่อน ทำให้หัวใจเต้นแรง สูบฉีดเลือดได้เต็มที่ กล้าม เนื้อแข็งแรงไม่อ่อนปวกเปียก วิ่งราวสิบนาทีก็ได้เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ขับของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะไขมันส่วนเกินที่มีแต่คนรังเกียจ
ข้อสำคัญก็คือเมื่อวิ่งไปได้ราวสามสิบนาที จะมีสารเอนดอร์ ฟีนหลั่งออกมา เป็นสารเสพติดครับ แต่อย่าตกใจ เพราะเป็น สารแห่งความสุข ผิดกับยาเสพติดที่มีพิษร้ายทุกๆ ชนิด
เชื่อได้เลยว่า ถ้าใครได้สารชนิดนี้จะมีความสุขสดชื่น สุขภาพกายและใจดีวิเศษที่สุด อ้าว? แล้วทำไมเรียกว่าสารเสพติดล่ะ?
อ๋อ! ก็เพราะถ้าขาดสารชนิดนี้จะทำให้อารมณ์บ่จอย หงุด หงิดขุ่นมัวไปทั้งวันน่ะซีครับ เพราะงั้นนักวิ่งและนักเดินเร็ว สำหรับผู้สูงอายุทั้งหลาย จึงไม่ยอมละเว้นกิจกรรมที่ว่าอย่างเด็ดขาด นอกจากจะติดธุระจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
เรื่องขนหัวลุกน่ะหรือครับ?
แหม! ผมเคยได้ยินมาเยอะเหมือนกันตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆ หรือเมื่อเกือบสิบปีก่อน คือมีนักจ๊อกกิ้งสองสามคนที่เขาเลิกราไปเพราะว่าโดนผีหลอกน่ะซี!
จริงเท็จไม่ทราบ แต่เขาเล่าว่ากำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ดีๆ ก็เห็นสาวสวยนุ่งขาสั้นสวมเสื้อยืดวิ่งอยู่ข้างหน้า หุ่นเจ๋งซะจนต้องวิ่งเข้าไปใกล้ๆ แต่เร่งสปีดเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซักที ในที่สุดชักเอะใจ ร้องตะโกนไปว่าคุณๆๆ รอเดี๋ยวก่อน! เธอเลยหันขวับ มามองเป็นครั้งแรก
โห...โลกแทบจะถล่มทลายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ไปเลย เพราะใบหน้าของสาวหุ่นเจ๋งนั่นกลับเหี่ยวย่นเป็นคนแก่อายุเกือบร้อยปี แถมฉีกยิ้มจนเห็นเหงือกแดงแจ๋...เล่นเอาเบรกพรืด ชนิดถ้าเป็นรถยนต์ก็ต้องเรียกว่ายางแทบไหม้เชียวล่ะ!
หันกลับได้ก็วิ่งเตลิดกลับบ้านไม่คิดชีวิต คราวนี้เร่งสปีดปานจะเย้ยนักวิ่ง 100 เมตรให้ได้อายก็แล้วกัน
อีกรายบอกว่ามีคนก้มหน้างุดๆ วิ่งสวนมาตอนเช้าตรู่ ยังไม่ถึงกับสว่างเพราะไฟถนนเปิดอยู่...แต่พอเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่าหมอนั่นไม่ได้ก้มหน้าหรอก แต่ไม่มีหัวต่างหากล่ะ...
เลยเลิกเป็นนักวิ่งไปอีกราย!
ผมเองไม่ค่อยสนใจหรอกครับเรื่องผีๆ สางๆ จนกระทั่งจ๊ะเอ๋เข้ากับตัวเองจังๆ
วันนั้นผมออกจ๊อกกิ้งราวหกโมงเช้าไปทางสวนจิตรฯ ขนานกับทางรถไฟ แต่คนละฝั่งถนนนะครับ...มีเพื่อนนักวิ่งที่คุ้นๆ หน้ากันสองสามคนวิ่งนำหน้าบ้าง วิ่งสวนมาบ้าง...โบก มือทัก ทายกันก่อนจะวิ่งไปเรื่อยๆ จนเหงื่อเริ่มซึมแผ่นหลัง
ราว 15 นาทีได้ ผมก็วิ่งมาถึงโพธิ์ 3 ต้นพอดี!
ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ข้างถนนทางด้านซ้าย 2 ต้นแรกอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ต้นที่ 3 ขึ้นห่างออกไปหน่อย มีผ้าเหลืองผ้าแดงเก่าๆ พันโคนต้นตามระเบียบ...ผมวิ่งผ่านมาเป็นร้อยหนแล้วนี่ครับ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร...แต่วันนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมา?
พอผมวิ่งผ่านต้นแรกก็เห็นผู้ชายโผล่ออกมาจากโคนโพธิ์ แล้ววิ่งเหยาะๆ ตามหลังมา ผมอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ จนกระทั่งผ่านต้นที่สองก็มีผู้ชายโผล่ออกมาวิ่งตามอีกคน...เอ๊ะ! ชักจะยังไง?
ครั้นถึงโพธิ์ต้นสุดท้าย คราวนี้มีผู้หญิงโผล่ออกมาจากโคนต้นอีกแล้ว รวมเป็น 3 คนที่วิ่งเหยาะๆ ตามผมมา...ทุกคนอยู่ในชุดนักกีฬาเหมือนนักจ๊อกกิ้งส่วนใหญ่ทั่วๆ ไป
คราวนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ผมผ่อนฝีเท้าจนแทบจะหยุด นิ่ง หันไปมองก็เห็นนักวิ่ง 1 หญิง 2 ชายที่ออกมาจากโคนโพธิ์ ชัดๆ ไม่ได้สนใจไยดีผมเลย แต่วิ่งผ่านผมไปเหมือนร่างกายโปร่งใสเป็นอากาศยังงั้นแหละ เล่นเอาผมมองตามตาค้าง หน้าชาเห่อ หลังเย็นเฉียบเหมือนถูกสาดด้วยน้ำแช่น้ำแข็ง ถังใหญ่
ก่อนจะถึงทางแยกข้างหน้า ใกล้ๆ กับโพธิ์ต้นที่ 3 ร่างของนักวิ่งทั้ง 3 คน เอ๊ย! 3 ตน ก็ละลายกลายเป็นอากาศธาตุไปต่อหน้าต่อตา
ผมหันหลังกลับซีครับ...คราวนี้ใส่สปีดเร็วจี๋ไม่คิดชีวิต กว่าจะถึงบ้านก็หอบแฮกๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ...ต่อจากนั้นผมก็เปลี่ยนเส้นทางไปแถวสะพานขาวแทนเพราะไม่อยากช็อกตายน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!