เมืองลับแล


เมืองลับแล

"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเมืองลับแลที่หลายคนเชื่อว่ามีอยู่จริง

เรื่องราวของเมืองลับแล ถือว่าลี้ลับมหัศจรรย์ ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ให้ชัดแจ้งได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แบบเดียวกับเรื่องผีๆ สางๆ ที่ยืนยันไม่ได้ แต่ก็เชื่อถือกันมานมนานกาเลแล้วว่ามีอยู่จริงๆ มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมามากมาย ว่าเมืองลับแลอยู่ในป่าดงเร้นลับนักหนา น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เข้าไป แล้วหายสาบสูญเหมือนตายจากตลอดกาล

เมืองลับแลในจังหวัดอุตรดิตถ์ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องนี้มากกว่าเพื่อน นอกนั้นก็มีจังหวัดอื่นๆ ทั้งในภาคเหนือและภาคอีสาน ที่มีตำนานเล่าขานว่ามีเมืองลับแลอยู่เช่นกัน

วันนี้จะได้เจาะเวลาหาเมืองลับแลให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋กันซะเลย!

ตะวันดวงโตกำลังคล้อยต่ำลงสู่สันเขาเหยียดทะมึนทางเบื้องหลัง...เจ้าขุนมองไปยังทิวไม้เหลืองอร่าม อาบไล้ด้วยแดดผีตากผ้าอ้อม ก่อนจะกระชับปืนมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยท้อแท้เป็นกำลัง...วันทั้งวันยังล่าสัตว์ติดมือไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว

ไม่มีด่านช้าง ไม่มีรอยตีนไอ้ลาย แต่พวกเก้งกวางก็กลับหายไปหมด แม้แต่กระต่ายกระจงก็ไม่รู้หลบลี้หนีหน้าไปไหน ราวกับป่าทั้งป่ากลายเป็นป่าร้างไปโดยสิ้นเชิง!

หมู่บ้านดงหลวงมีหลายสิบหลังคาเรือน บ้างก็ทอผ้าหรือจักสานอยู่กับบ้าน พวกกลางคนจนถึงวัยชราก็ออกหาของป่าเล็กๆ น้อยๆ ใกล้บ้าน มีแต่พวกหนุ่มๆ 4-5 คนที่ชอบเข้าป่าล่าสัตว์ ทั้งได้เหยื่อกลับบ้าน ทั้งตื่นเต้นยามที่ต้องประจันหน้ากับสัตว์ร้าย

ใครดีใครอยู่! เลือดลมฉีดแรงซ่านซ่าดีนัก ตามวิสัยชายฉกรรจ์โดยทั่วไป

แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นมา?

หรือว่าจะเป็นดวงชะตาของส่ำสัตว์น้อยใหญ่ที่ยังไม่ต้องถึงฆาตเพราะปืนพราน?

"ช่างเถอะวะ! อย่างน้อยเราก็ยังไม่มีลูกมีเมีย" เจ้าหนุ่มปลอบใจตัวเอง...เดินจากสักใหญ่ต้นนั้นไปก็จะถึงมะค่าคู่...เลี้ยวซ้าย เลาะลัดลำธารสายนั้นไปอีกครู่ใหญ่ก็จะเห็นสวนกล้วยดกสะพรั่ง หลังคาสังกะสีปรากฏอยู่ลิบๆ

แต่ถึงมะค่าคู่นั้นแล้วก็ไม่เห็นมีลำธารที่เที่ยวท่องมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ นอกจากตะแบกออกดอกสะพรั่ง...เอ๊ะ! หรือว่าเราหลงทาง?

เงยหน้าขึ้นพิจารณามะค่าคู่นั้นก็ใช่แน่...เสียงน้ำไหลกระทบแท่งหินดังแว่วมาเข้าหู ขณะที่แสงแดดลำสุดท้ายค่อยๆ จางหายไปอย่างรวดเร็ว...เลี้ยวซ้ายไปตามเสียงน้ำไหล กลับปรากฏกอไผ่ตายซากโดดเด่นอยู่ตรงหน้า...เดินอ้อมไปหาลำธารก็กลับกลายเป็นว่ามายืนอยู่ที่เดิม เห็นสักใหญ่ต้นนั้นยืนทะมึนอยู่ตามเคย!

...เสียงลมพัดซ่ามาตามยอดไม้ ชวนให้เยือกเย็นใจจนขนลุกไปทั้งตัว จนชักจะเอะใจอะไรขึ้นมา "อะไรกันวะ...หลงทางกลางวันแสกๆ ก็มี"

"เราหลงทางแล้วโว้ย!" แทบสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูตะโกนอยู่ใกล้ๆ หันขวับไปก็เห็นเจ้าฉายกับเจ้าศรี-สองคู่หูจากหมู่บ้านดงหลวง นักล่าสัตว์เช่นเดียวกัน

"ไอ้ขุน!" เจ้าฉายเตี้ยล่ำเป็นมะขามข้อเดียวร้องลั่น วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา มีเจ้าศรีผอมสูงวิ่งตามมาติดๆ "วันนี้ซวยชิบ...ไม่เจอสัตว์ซักตัว หน็อย! เสือกหลงทางซะอีก"

เจ้าขุนยืนตัวแข็ง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวอีกครั้ง...จู่ๆ คนถิ่นนี้กลับมาหลงทางพร้อมกันถึงสามคน ทั้งๆ ที่คุ้นเคยขนาดหลับตาเดินได้ด้วยซ้ำ

"เอ็งก็หลงทางเหมือนกันเรอะ?" เจ้าศรีพอจะเดาได้

"ข้าชักสังหรณ์ใจว่าพวกเราจะโดนผีบังตาซะแล้วโว้ย..." แทบไม่ทันขาดคำ เสียงฮูม...แปร๋น! ก็ดังสนั่นขึ้นในบัดดล!

หนุ่มทั้งสามอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป ก่อนจะขยับปืนก็ได้ยินเสียงไม้ไร่หักโผงผางใกล้เข้ามา...ป่าแตกด้วยโขลงช้างนับสิบๆ ตัวที่ดาหน้าเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งในพริบตานั้นเอง

"เผ่นโว้ย! ขืนช้าตาย..." เสียงใครตะโกนลั่น โดยไม่ต้องซักถามหรือปรึกษาหารือ เสียงไม้ไร่หักโผงผางสะท้านใจนัก แผ่นดินราวสะเทือนเลื่อนลั่น...เจ้าหนุ่มทั้งสามกระโจนพรวดไม่คิดชีวิต วิ่งล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน...หวาดกลัวปานหัวใจจะหยุดเต้น

จู่ๆ พื้นดินก็หายวับไป มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ขณะที่ร่างทั้งสามหล่นวูบวาบราวกับตกจากหน้าผาสูงชัน ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนด้วยความตกใจสุดชีวิต...สรรพสิ่งคล้ายจะวูบวับดับหายไปโดยสิ้นเชิง!

ชายทั้งสามได้สติลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนพรมหญ้านุ่มหนา แสงแดดเหลืองอร่ามส่องจับยอดไม้ นกกำลังบินกลับรัง สายลมพัดโชยมาเย็นฉ่ำ...หอมกรุ่นด้วยกลิ่นดอกไม้ป่าน่าชื่นใจนัก

ตะลึงลานแทบไม่เชื่อตาตัวเอง เมื่อเห็นสาวสวยสามอนงค์นั่งอยู่ใกล้ชิดราวจะคอยดูแลด้วยความห่วงใย...



ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์