เมืองแม่ม่าย


เมืองแม่ม่าย

"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของเมืองลับแลที่หลายคนเชื่อว่ามีอยู่จริง

ใบหน้าขาวผ่อง ตาคมผมยาว ปากเต็มอิ่มแดงระเรื่อเผยอยิ้มอย่างเอียงอาย นัยน์ตาดำขลับก็จ้องมองตอบมาด้วยความประหม่าเขินขวยอยู่ในที...เสื้อผ้าดูเรียบง่ายแต่ก็เข้ารูปเข้าทรง สีสันสะสวยกับรูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับพี่น้องไม่มีผิด

สามสาวมองสบตากันแล้วมายิ้มหวานกับสามหนุ่ม ประหนึ่งจะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ในทีว่า...คู่ใครคู่มัน!

"พวกพี่มาจากไหนกันจ๊ะ? เราเห็นพวกพี่นอนสลบอยู่ในสวนหลังบ้านก็เข้ามาดู" เสียงไพเราะนุ่มนวลดังจากปากสาวผู้ประคองเจ้าขุน "ฉันชื่อพลับพลึง นั่นลำดวนกับสร้อยทอง" ฝ่ายเจ้าหนุ่มก็แนะนำตัวเองกับเพื่อนๆ รู้สึกถูกชะตากับสาวพลับพลึง คุ้นเคยราวเคยรู้จักกันมาก่อนในอดีตชาติ หนุ่มสาวอีกสองคู่ก็พูดคุย หัวเราะต่อกระซิกแทบไม่ขาดเสียง ราวกับจะลืมเสียสนิทว่าฝ่ายชายหลงทางมา

เจ้าขุนรอบคอบกว่าก็นึกขึ้นได้ เล่าความว่าพวกตนออกมาล่าสัตว์ แต่เกิดหลงทางเจอโขลงช้างแตกตื่นปานฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย จนต้องเตลิดเปิดเปิงมาสิ้นสติถึงที่นี่

"ถ้าเป็นพรานจริง แล้วไหนล่ะจ๊ะปืนผาหน้าไม้ของพี่น่ะ?"

สาวพลับพลึงเอียงคอถามพลางยิ้มละไม สามหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก จนสามสาวยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก เจ้าฉายยกมือเสยผม ทำท่าอ่อนแรงราวจะล้มลงนอนอีกครั้ง

"หายหมดแล้ว...ไม่มีอะไรเหลือเลย"

"คงจะอีตอนที่เราวิ่งหนีไอ้หมูยาวโขลงนั้นแหละ หกล้มหกลุกไม่รู้เรื่อง"

"จริงนะ" พลับพลึงจับคางเจ้าขุนสั่นเบาๆ "อยู่ที่นี่ห้ามพูดปดนะจ๊ะคนดี!"

เจ้าขุนฝืนยิ้ม "ไม่โกหกหรอกพลับพลึงจ๋า...ว่าแต่ช่วยบอกทางไปบ้านดงหลวงให้พวกพี่หน่อยเถอะนะ นึกว่าเอาบุญ! วันหน้าวันหลังพี่จะมาเยี่ยมพลับพลึงคนสวย"

สาวเจ้ายิ้มหวาน นัยน์ตาดำขลับดูหยาดเยิ้มเมื่อมองใบหน้าคมสันของเจ้าหนุ่ม ก่อนจะส่ายหน้าเชื่องช้า พูดปนหัวเราะแต่ก็ดูจริงจังอยู่ในที

"มาแล้วไปไม่ได้...ไปแล้วมาไม่ได้! โถ...พวกพี่ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ไปที่บ้านพวกเราก่อนเถอะจ้ะ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้วนอนพักสักคืน พรุ่งนี้ค่อยคิดถึงเรื่องกลับบ้านนะจ๊ะคนดี..."

สามหนุ่มมองสบตากัน ก่อนจะพยักหน้า กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...

พลบค่ำแล้ว เมื่อสามสาวพาคู่ของเธอแยกย้ายกันเข้าบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน...พลับพลึงหาอาหารมากินกับเจ้าขุนที่ชานเรือนอันแข็งแรงแน่นหนา มีแสงไต้จากเสาใหญ่ใกล้นอกชาน เนื้อต้มกับลูกเดือย ผักน้ำพริกกับปลาย่าง ราวจะเป็นอาหารวิเศษสุดในชีวิต

ในห้องนอนอันเงียบเชียบ แต่อบอุ่นด้วยไอรักของหนุ่มสาวคราวแรกพบ มีเสียงสายลมคร่ำครวญอยู่ภายนอก ราวจะขับกล่อมให้เจ้าขุนกับพลับพลึงกอดจูบ ลูบเคล้าเล้าโลมกันแสนสุขประหนึ่งจะกลืนหายเป็นเนื้อเดียวกัน!

"พี่จ๋า...พลับพลึงรักพี่ เราจะอยู่กินกันอย่างมีความสุขเช่นนี้ตลอดไป...ขออย่างเดียว พี่อย่าพูดปดเด็ดขาด ไม่ว่ากับใครๆ ทั้งนั้น! กอดพลับพลึงแน่นๆ อีก พี่จ๋า..."

รุ่งเช้า....สามหนุ่มตื่นขึ้นมาก็ตะลึงลานเหมือนตกอยู่ในความฝันไม่ผิดเลย!

หมู่บ้าน...หรือเมืองๆ หนึ่งที่มีอยู่นับร้อยหลังคาเรือน ปลูกเรียงรายลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ผืนป่าเขียวชอุ่มแผ่ไพศาลอยู่เบื้องล่างรอบทิศ มองเห็นลำธารคดเคี้ยวไปตามแมกไม้ใบหนา ท้องฟ้าดูกว้างขวางยิ่งกว่าที่เคยเห็น ลมเย็นฉ่ำพัดโชยมาชื่นใจนัก

สามสาวพาสามหนุ่มเดินชมบ้านเมืองสวยงาม สะอาดสะอ้านปานเมืองในฝัน ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ผ่าฟืน ทอผ้าและทำเครื่องจักสาน หันมองยิ้มๆ อย่างเป็นมิตรราวรู้จักกันมาเนิ่นนาน...สังเกตว่ามีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย!

หรือว่าจะเป็นเมืองลับแล เมืองแม่ม่ายอย่างที่เคยได้ยินเขาเล่าลือกันมาเนิ่นนาน?

จนกระทั่งลัดเลาะลงมาถึงห้วยละหานธารใส มีคนกลุ่มใหญ่ลงมาตักน้ำด้วยถังไม้...เจ้าศรีมองเห็นแสงวูบวาบตามชายน้ำก็ย่นคิ้ว ก่อนจะผละวิ่งเข้าไปก้มลงหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาดู...ขยี้หูขยี้ตา 2-3 ครั้ง แล้วร้องเอะอะ อะไรอย่างลืมตัว

"เฮ้ย! ทองนี่หว่า...ทองคำแท้ๆ ไม่ใช่ก้อนหินหรอกโว้ย!" คนที่มาตักน้ำหันมองยิ้มๆ ก่อนจะข้ามก้อนสีทองน้อยใหญ่เหล่านั้นโดยไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อยนิด

"ก็ทองน่ะซีจ๊ะ" ลำดวนก้าวเข้ามาหา "มากมายกว่าก้อนหินด้วยซ้ำ ก้อนใหญ่ๆ กว่านี้ก็ยังมี...นั่น! แล้วก็นั่น! ทองคำทั้งนั้นเลย ว่าแต่พี่จะสนใจของพวกนี้ไปทำไมกันจ๊ะ?"

ก้อนทองหล่นจากมือ เจ้าศรีพยักหน้าฝืนยิ้ม นัยน์ตาหรี่ลงโดยไม่รู้ตัว

"นั่นซี...ทองคำเยอะแยะขนาดนี้จะไปมีค่าอะไรล่ะ?

สามสาวหัวเราะเสียงใส เจ้าขุนมองดูทิวทัศน์อันร่มรื่น ฟังเสียงน้ำเซาะแก่งหิน เสียงนกร้องเพลง ลมพัดโชยกลิ่นดอกไม้มาหอมชื่น...ตระหนักถึงชีวิตที่สุขสงบและสันโดษของดินแดนแห่งใหม่ มีพลับพลึงแสนสวยเคียงข้างแนบเคล้าไปตลอดกาล!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์