วิญญาณร้องไห้

"กวี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกุฏิผีสิง

สมัยเด็กผมเป็นคนต่างจังหวัด พ่อแม่ส่งให้มาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ บังเอิญมีญาติทางแม่เป็นพระชื่อมหาสมนึก จึงฝากฝังให้อยู่ด้วย ผมเลยเป็นอารามบอยอยู่ที่วัดแถวบางพลัดนี่เอง

ชีวิตเด็กวัดจะสนุกสนาน มีเหตุการณ์ต่างๆ มากมายยังไง? แค่ไหน? ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ

อย่ากระนั้นเลย ขอเล่าเรื่องน่าขนหัวลุกสู่กันฟังดีกว่า!

เพื่อความเหมาะสม ผมจึงขอไม่เอ่ยชื่อวัดนี้ เกรงว่าจะกระทบกระเทือนไปถึงผู้อื่น รวมทั้งสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนรุ่นหลังๆ ที่มาอยู่อาศัยในปัจจุบัน... เดี๋ยวจะอกสั่นขวัญแขวนจนเผ่นหนีไปหาที่อยู่ใหม่เสียเปล่าๆ

วัดนี้ขึ้นชื่อลือชาว่าผีดุนักหนา ไม่ว่าชาวบ้านในละแวกนั้น รวมทั้งพระเณรและเด็กวัดล้วนแต่เคยโดนหลอกหลอนมานับไม่ถ้วนแล้ว!

ตั้งแต่ผมไปอยู่ใหม่ๆ ก็ได้ยินเรื่องน่าสยองขวัญพวกนี้ ตั้งแต่ชาวบ้านที่เดินผ่านมาตอนเย็นๆเห็นคนเดินนำหน้าไปทางหลังวัดก็อุ่นใจว่าได้เพื่อน เพราะต้องผ่านเจดีย์ที่บรรจุกระดูกเรียงรายกันเป็นพืด ส่วนมากเป็นเจดีย์เก่าๆ ที่มีตะไคร่น้ำจับเขียวยืนทะมึนในความสลัวและจ้องมองอย่างเร้นลับ

ต้นไม้ใหญ่ๆ ดูวังเวงน่ากลัว ยามลมพัดจะเกิดเสียงซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กันด้วยเสียงเย้ยหยัน หรือไม่ก็เกิดความขบขันเต็มประดา

อ้าว? จู่ๆ คนที่เดินนำหน้าก็เลี้ยวเข้าไปในเจดีย์องค์หนึ่งดื้อๆ หายวับไปต่อหน้าต่อตาซะยังงั้นเอง!

เผ่นกระเจิงไม่คิดชีวิตน่ะซีครับ

กุฏิบางหลังก็มีพระมรณภาพ 2-3 ราย วันดีคืนดี ท่านๆ ก็มานั่งล้อมวงคุยกันดื้อๆ บางคืนก็เดินไปเดินมาบนระเบียง เด็กวัดที่รู้ข่าวมาก่อน พอมองเห็นถึงกับร้องจ๊ากวิ่งหนีแทบจะขาดใจตายไปเลย

เรื่องทำนองนี้ยังมีหลายเรื่อง แต่ผมก็คอยระวังตัวมาตลอดเวลา จนเจอะเจอกับตัวเองเข้าจนได้!

กุฏิหลวงน้าสมนึกอยู่ค่อนไปทางด้านหลังโบสถ์ ลักษณะกลางเก่ากลางใหม่ ชั้นล่างเป็นห้องครัวกับห้องเก็บของ ผมอยู่กับเจ้าฉิ่งที่เป็นลูกศิษย์หลวงน้ามาก่อน ตกค่ำก็เปิดไฟดูหนังสือเรียนก่อนเข้านอน เหตุการณ์ทำท่าว่าจะราบรื่นไปด้วยดี

แต่ราวหนึ่งเดือนหลังจากโรงเรียนเปิดเทอมต้น ย่างเข้าฤดูฝน เหตุการณ์น่าขนพองสยองเกล้าก็อุบัติขึ้นมา...

คืนนั้น เราเข้านอนราวสามทุ่มเศษ กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว พอดีฝนต้นฤดูเกิดเทโครมครามลงมาดื้อๆ ไม่ช้าเสียงกบเขียดและอึ่งอ่างก็ร้องระงมต้อนรับสายฝนอย่างยินดีปรีดา ส่วนเราก็นึกว่าคืนนี้มีหวังหลับสบายไปยันเช้ามืดแน่ๆ

อ้อ! เป็นเวรผมที่จะต้องหิ้วปิ่นโตตามหลวงน้าไปบิณฑบาตพอดี!

ทั้งๆ ที่เสียงกบเขียดยังดังระงมอยู่นั่นเอง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ดังขึ้นมา...

ผมหันไปมองเจ้าฉิ่งที่นอนมุ้งเดียวกันก็เห็นมันหลับสนิท ลมหายใจดังสม่ำเสมอ คิดว่าตัวเองคงหูแว่วไป เพราะตอนนั้นฝนไม่ค่อยหนาเม็ดแล้ว เสียงมันกระทบหลังคาบอกให้รู้ แต่เสียงร้องไห้กลับดังขึ้นๆ จนได้ยินถนัดชัดเจน

"ใครมาร้องไห้แถวนี้หว่า?" ผมนึกถามตัวเองเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นแต่ความมืดสลัว แน่ใจว่ามันไม่ได้ดังมาจากในห้องนี้แน่ๆ แต่ดังอยู่แถวนี้แหละ... เออ! แปลกแฮะ มาร้องไห้ตอนฝนตก

คุณพระช่วย! เสียงร้องไห้แทบจะเป็นโฮๆ ยิ่งดังขึ้นทุกทีจนผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!

ไม่ใช่ธรรมดาแล้วล่ะครับ งานนี้! ข้างบนก็มีแต่หลวงน้ารูปเดียว คนปกติที่ไหนล่ะจะบ้าเดินตากฝนมาร้องไห้? แต่ผมแน่ใจว่าเป็นเสียงร้องไห้ที่ดังอยู่ในกุฏินี้แน่ๆ เพียงแต่ฟังไม่ออกเท่านั้นว่ามันดังมาจากซอกมุมไหนกัน?

เสียงร้องไห้โฮๆ ดังถนัดหู! คราวนี้ได้ยินชัดเจนว่าเป็นเสียงคนหลายคนทั้งชายและหญิง ที่ร้องไห้กันด้วยความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส... ดังกึกก้องเต็มสองหู สนั่นเข้าไปในกะโหลกจนสุดจะทนได้หวาดไหวอีกต่อไป...จนต้องเขย่าตัวเจ้าฉิ่งขึ้นมาเล่าให้ฟัง

"อย่าไปสนใจเลยว่ะ" มันบอกเสียงงัวเงีย "ข้าได้ยินจนชินแล้ว...ลืมเล่าให้เอ็งฟังว่าบ้านใกล้ๆ วัดเขาฆ่ากันตายทั้งบ้าน ญาติเลยรื้อมาถวายวัด สร้างเป็นกุฏิหลังนี้ไง!"



วิญญาณร้องไห้

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์