ผมเคยอ่านเรื่องขนหัวลุกตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หลายแห่ง แต่ยังไม่เคยเห็นเรื่องผีๆ สางๆ ใน มข. (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ที่ร่ำลือกันว่าผีดุนักหนา นำมาบอกเล่าสู่กันฟังต่างๆ นานา เลยเห็นว่าน่าจะนำบางเรื่องที่แพร่หลายมากำนัลแฟนๆ ขนหัวลุกบ้าง
มหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในภาคอีสาน หรืออาจจะที่สุดในเมืองไทยก็ได้ คือ 7,000 ไร่ สร้างในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาราว 50 ปีแล้ว
นักศึกษาทั้งหมดไม่มากไม่น้อย แค่ 50,000 คน (ห้าหมื่นคน) เศษเท่านั้น?
ความเจริญตามยุคสมัยก็คือมีตู้เอทีเอ็มเป็นสิบ และมีร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯ มากมายที่สุดจนนับไม่ไหวละกัน
มีหอพักนักศึกษา แต่ส่วนหนึ่งนิยมออกไปเช่าหอพักอยู่ข้างนอกมากกว่า เพราะในมข.ต้องแยกเป็นหอพักชายกับหอพักหญิงนี่ครับ...คนคิดมากน่ะไม่เห็นใจคนกลัวผีมั่งรึไง?
เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยสารพัดโรคขอให้พ่อแม่และผู้ปกครองหายห่วงไปได้เพราะมีสถานพยาบาลดูแล ไม่ว่าจะฝากครรภ์หรือผดุงครรภ์มีบริการช่วยเหลือเพียบพร้อม
สมัย 10-20 ปีก่อน ตอนเช้าๆ เย็นๆ จะมีควาญนำช้างมาหาหญ้าสดๆ กินวันละราว 200 เชือก ต่อมาก็ค่อยๆ ลดลงตามความเจริญของบ้านเมืองที่มีรถราพลุกพล่านหนาตา จนเหลือแค่วันละไม่ถึง 100 เชือกเท่านั้น
นักศึกษานิยมเรียกมข.ว่า "มอดินแดง" คำว่า "มอ" เป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึงโคก, เนิน รวมๆ แล้วคือสูงกว่าที่อื่นๆ ทั่วไปในบริเวณนั้น
บึงสีฐานก็เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อมเหศักดิ์ ที่นับถือกันมาเนิ่นนานแล้วว่าท่านศักดิ์สิทธิ์นักหนา ใครไปกราบไหว้บูชา อธิษฐานจิตอ้อนวอนขอให้ท่านช่วยสิ่งใดก็มักจะสัมฤทธิผลสมความปรารถนาทุกคนไป
คราวนี้จะเล่าเรื่องขนหัวลุกในมข.ให้ฟัง!
ผมอยู่ในตัวจังหวัด แถมใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอีกต่างหาก ได้ฟังเรื่องผีดุในมข. ตั้งแต่สมัยหนุ่มจนเลยวัยกลางคนไปหลายปีแล้ว ตัวเองก็เคยเข้าไปดูวิวทิวทัศน์ในตอนกลางวันมานับครั้งไม่ถ้วน คือพาญาติมิตรขึ้นรถเข้าไปดูความยิ่งใหญ่ตระการตาในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดก็หลายครั้งหลายครา
สิ่งที่โดดเด่นมากๆ นอกจากตึกรามสวยงามของคณะต่างๆ ก็คือต้นไม้ใหญ่น้อยหลากหลายที่ร่มครึ้ม สะบัดซู่ซ่าเกรียวกราวตามสายลม ยิ่งในตอนเย็นๆ บรรยากาศยิ่งน่าวังเวงใจชอบกล จะมีที่ว่างๆ ก็คือสนามกีฬากับแปลงผักเวิ้งว้างแทบสุดลูกหูลูกตา...
โดยเฉพาะสะพานแห่งนั้น...สะพานเล็กๆ ข้ามคูที่ดูเงียบเชียบอยู่ใต้เงาไม้ร่มครึ้ม ตอนกลางวันก็ยังค่อนข้างเปลี่ยวเพราะมีทางแยกเข้าออก หรือไปคณะนั้นคณะนี้ได้หลายทาง...แต่พอตกกลางคืนเข้ายิ่งเยือกเย็นน่าใจหายใจคว่ำอย่างบอกไม่ถูก...สาเหตุก็เพราะขึ้นชื่อลือชาว่าผีดุนักหนาน่ะซีครับ!
ผีผู้หญิง...แต่จะล้มตายมาเมื่อไหร่ ด้วยสาเหตุอันใด ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ นอกจากจะเดาสุ่มกันไปต่างๆ นานาว่าเธอเป็นนักศึกษาอกหักบ้าง ล้มเหลวในการเรียนบ้าง มีเรื่องราวคับแค้นใจจากทางบ้านบ้าง
ในที่สุดก็ตัดสินใจมาจบชีวิตตัวเองที่สะพานแห่งนี้ในชุดขาวด้วยการกระโดดน้ำตาย แล้ววิญญาณก็สิงสู่อยู่ที่นั่นตลอดมา!
ถ้ามีนักศึกษาชายขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ผ่านมา มักจะเห็นสาวสวยในชุดขาวร่างสูงโปร่ง ผมยาวกระจายเต็มบ่า หน้าตาสะสวยหันมายิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายและจับไม้จับมือชายหนุ่มที่ตอนแรกนึกว่าตัวเองโชคดี แต่มาสะดุ้งเยือกเมื่อรู้สึกว่ามือของสาวเจ้าเย็นเฉียบไม่ผิดกับน้ำแข็ง...
รอยยิ้มนั้น นัยน์ตาที่จ้องมองนั้น...
สัญชาตญาณบอกแน่ว่าสาวสวยในยามวิกาลเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นแบบนี้ ไม่ใช่คนปกติธรรมดาทั่วๆ ไป แต่เธอคือ...ผี!!
สะบัดมือโดดขึ้นรถ เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตด้วยความหวาดกลัวสุดขีดแทบจะสิ้นใจ!
สาวชุดขาวที่สะพานนี้ไม่ใช่ว่าเจอะเจอมาแค่คนสองคน แต่เป็นสิบๆ คนแล้วที่ต้องขนหัวลุก แทบจะจับไข้จับหนาวไปตามๆ กัน...ยกเว้นแต่ที่มากันสองคน มีทั้งเห็นและไม่เห็น แต่เธอจะยืนกอดอกหันหลังให้ พลางเงยหน้าชมดาวเดือนเพลิดเพลินโดยไม่สนใจไยดี
อ้อ! ผู้หญิงไม่เคยโดนหลอกหลอนนะครับ เห็นก็ไม่เห็น แต่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วแทบจะไม่มีใครรอดสันดอนไปแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้ลูกชายผมเรียนอยู่ที่นั่นปีสุดท้ายแล้ว ได้แต่กำชับให้มันกลับบ้านเร็วๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวเจอะเจอสาวชุดขาวเข้ามีหวังสติแตกก่อนเรียนจบเท่านั้นเอง