"ชายน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้าต่างข้างบ้าน
บ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านผมนั้น มีบานหน้าต่างที่สวยมากครับ เขาติดกระจกสี มีสีเหลือง แดง เขียว ฟ้า เวลาเปิดไฟในห้อง แสงไฟจะส่องผ่านกระจกออกมาดูลานตา ผมมองไม่เบื่อเลยแทบทุกคืน
มันเป็นหน้าต่างรูปโค้งกว้างใหญ่ บนชั้นสอง ซึ่งผมรู้ว่าเป็นห้องนอนของลูกสาวเจ้าของบ้านน่ะครับ เสียดายแต่ตอนหลังๆ นี้ ไฟในห้องนั้นไม่ค่อยได้เปิด บางวันมันมืด เหงา เห็นแล้ววังเวงใจชอบกล
ผมได้ข่าวว่าเจ้าของห้องมีเรื่องทุกข์ใจหนักหนาสาหัสเชียว!
กรุณาอย่าคิดว่าผมหลงเสน่ห์สาวสวย เจ้าของห้องนอนกระจกสีนะครับ เธอเป็นนักศึกษาปี 4 ส่วนผมน่ะแค่เด็กม.3 เท่านั้น แหม! รุ่นใหญ่กว่าเยอะเลย ไม่คิดจะข้ามรุ่นหรอกฮะ! ผมเรียกเธอว่าพี่ปู (คนสวย) เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณป้าปุ๊กับคุณลุงอุดม เพื่อนบ้านที่สนิทกับครอบครัวผมอย่างดี
พี่ปูเรียนเก่งมาก ถึงจะเป็นคนสวยแต่ก็คร่ำเคร่งกับการเรียน ผมไม่เคยเห็นพี่ปูไปเที่ยวที่ไหนเลย ตอนเช้าไปมหาวิทยาลัย ตอนเย็นกลับมาแทบตรงเวลาเป๊ะทุกวัน ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
พอค่ำลง หน้าต่างห้องพี่ปูก็ดูสวยด้วยสีแพรวพราว!
หน้าต่างแบบนี้เสียอย่างเดียว คือคนภายนอกจะมองเห็นเงาเจ้าของห้องได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเธอเดินไปมา แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดหรอกครับ เพราะไม่ได้ชัดเจนอะไร เพียงแค่รู้ว่ามีคนอยู่ในห้องเท่านั้น
ผมกับพี่ปูทักทายกันเสมอ เธอเป็นคนรื่นเริงน่ารัก มาเงียบขรึมตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่แหละ สงสัยจะเรียนหนัก คุณลุงคุณป้าตั้งความหวังไว้สูง พี่ปูก็เป็นเด็กดี เอาจริงเอาจังกับอนาคตมากๆ เพราะเหตุนี้เธอถึงได้เคร่งเครียด จนระยะหลังๆ ผมแทบไม่เห็นรอยยิ้มเธอเลย
แต่แล้วจู่ๆ พี่ปูก็ทำให้ผมตกใจไปหมด...
คือเธอดูล้นๆ พิกล ชอบร้องเพลงดังๆ บางทีผมได้ยินเสียงร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ บางวันเห็นเธอพูดคุยพึมพำคนเดียว พอหันมาเห็นผมเธอก็ยิ้ม...เป็นยิ้มที่ทำให้ผมขนหัวลุก เพราะมันเป็นการฉีกยิ้มที่ไร้อารมณ์เหมือนหน้ากากละคร ตาลุกวาวน่ากลัวชะมัด
เอ...ผมไม่อยากคุยกับพี่ปูแล้วล่ะ!
อาการของพี่ปูคือโรคประสาท! นี่ผมได้ยินคนแถวบ้านเราพูดกันนะ อย่างวันก่อนผมไปซื้อบะหมี่กับเป๊บซี่ที่ร้านป้าหนึ่ง คนที่มาซื้อของก่อนหน้าผมกำลังพูดให้ป้าหนึ่งฟังว่า พี่ปูท่าจะบ้าไปแล้ว เพราะเรียนหนักและเครียดเกินไป คะแนนที่ออกมาก็ต่ำลงๆ
เธออายและผิดหวังมาก...ทั้งอายและเสียใจอย่างสุดขีด!
เอ๊ะ! ทำไมรู้ละเอียดจัง? ผมหันไปมองหน้าคนพูดชัดๆ อ๋อ...คนใช้ในบ้านนั่นเอง แหม! เอานายจ้างมานินทาให้ชาวบ้านฟังเฉยเลย ไม่นึกกระดากปากเลยซักนิด
คืนหนึ่งที่อากาศหนาว เมื่อเดือนตุลาคมนี่ละครับ ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ผมเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆ จากหน้าต่างกระจกสีแสนสวยบานนั้น
เงาของใครบางคน...พี่ปูน่ะซีครับ! ทำไมปีนขึ้นไปอย่างนั้น จะว่าเปลี่ยนหลอดไฟก็ไม่น่าจะใช่ ไฟก็ออกสว่างเจิดจ้า เอ๊ะ....เธอแกว่งตัวไปมาเหมือนกำลังโหนบาร์เล่น ผมมองไม่ชัด คิดว่าเธอเครียดจัดเลยโหนพัดลมเพดานเล่นแก้เซ็งละมั้ง น่าเสียวไส้ออก!
แต่แล้ว อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ แล้วรีบวิ่งไปเรียกแม่ให้มาดู แม่ตกใจจนวิ่งไปที่บ้านนั้นแล้วตบประตูเรียกลั่นๆ แต่นานโขเชียวกว่าจะเปิดรับได้
ครับ...พี่ปูผูกคอตายจริงๆ และเธอก็ตายสมใจเสียด้วย! น่าเศร้ามาก ส่วนผมน่ะขวัญเสียไปเลย! แหม...ก็เป็นคนเห็นนาทีมรณะนี่ครับ ภาพที่เป็นเงารางๆ ของพี่ปูขณะผูกคอตายยังติดตาผมอยู่จนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ติดอยู่ในความทรงจำเท่านั้น
ทุกคืน ไฟที่ห้องนั้นเปิดสว่างจ้า คุณลุงคุณป้าคงเปิดทิ้งไว้จะได้ไม่น่ากลัว แต่มันน่าสยองยิ่งกว่าปิดไฟมืดๆ อีกครับ
ผมเคยเห็นเงาร่างคนชะเง้อปีนขึ้นไปเกือบถึงเพดาน ผมตกใจมากเรียกแม่มาดู เพราะคิดว่าคุณป้าคุณลุงอาจเสียใจหนักแล้วผูกคอตายตามพี่ปู แต่พอแม่มาก็ไม่มีอะไร คุณลุงคุณป้ายังอยู่สบาย แม่บอกว่าผมตาฝาดไปเอง...ผมตัวสั่นเพราะคิดว่าโดนผีหลอก
แหม! พี่ปูน่ะเธอฆ่าตัวตาย ป่านนี้เธอเป็นผีที่น่ากลัวมากในความรู้สึกของผม...ผมคิดและคิดวนเวียนอยู่นั่นแหละว่า พอถึงเวลาสี่ทุ่มทุกคืน วิญญาณพี่ปูจะปรากฏในห้องนั้น แล้วจัดการฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เอ...ผมท่าจะบ้า! ไม่เอาน่า...คนตายไปแล้ว จบแล้ว! ไม่มีอะไรแล้วละ...เธอจะมาหลอกหลอนผมทำไม? คนชอบๆ กันนี่นา
ค่ำมืดทีไร ผมอดมองหน้าต่างกระจกสีพราวตานั่นไม่ได้ซักที และรู้สึกเสมอว่าพี่ปูยังอยู่ที่นั่น ไม่ได้ไปไหน วิญญาณคนที่ฆ่าตัวตายจะไม่มีวันสงบไม่ใช่หรือครับ?
แม้จะมองกระจกสีของหน้าต่างทุกวัน แต่เวลาสี่ทุ่มผมไม่กล้าชำเลืองตาไปดูเลย จนวันหนึ่งอดไม่ไหว..แล้วผมก็เห็นเงานั่นอีกจนได้! กระจกหน้าต่างแสนสวยกลายเป็นกระจกหลอนที่สยองขวัญที่สุด
ผมได้ข่าวไม่กี่วันก่อนว่า คุณลุงคุณป้าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แล้วให้เช่าบ้านนี้! แค่ได้ยินก็ขนหัวลุกแล้วครับ มันต้องมีเรื่องสยองๆ ผมจะคอยดูไว้ เพราะเชื่อว่าจะต้องมีเหตุการณ์น่าขนหัวลุกเกิดขึ้นอีกแน่ๆ
คอยดูเถอะ...ไม่นานเกินรอหรอกครับ! บรื๋ออออ....