บ้านหนูอยู่ตลาดพลู จากท่าน้ำริมคลองบางกอกใหญ่ ผ่านร้านหมี่กรอบเจ้าดัง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ร้านครัวบางหลวง ร้านกาแฟจนถึงร้านขนมหวานชื่อดังสุดๆ ในย่านนั้นเลย คนที่เป็นโรคเบาหวานยอมรับว่าผ่านร้านขนมแถวนี้ทีไรถึงกับน้ำลายสอเต็มปากทุกที
พ่อแม่โชคดีที่ไม่เป็นโรคนี้ แต่ก็บอกกล่าวกันว่าอย่าประมาท เพราะอายุยี่สิบต้นๆ ถือว่ายังแข็งแรงพอที่จะมีภูมิคุ้มกันโรคร้ายต่างๆ ได้ดีกว่าคนสูงอายุ แต่ก็ต้องดูแลอาหารการกินกับออกกำลังกายเป็นประจำด้วยค่ะ
แต่ถ้าแก่ตัวเข้า อวัยวะต่างๆ ก็ย่อมอ่อนแอลง เปิดโอกาสให้โรคร้ายสารพัดอย่างเข้ามากลุ้มรุมกันโจมตีเราได้ง่ายๆ
เช่นคุณยายลออที่อยู่บ้านตรงข้าม อายุราวหกสิบ กว่าๆ ไม่รู้ว่าแกทำเวรกรรมอะไรไว้ค่ะ ถึงได้เป็นทั้งความดันเลือดสูง ต้อหิน เบาหวาน โรคหัวใจ แถมริดสีดวงทวารเข้าไปด้วย เคยไปผ่าตัดมาแล้วแต่มันก็เป็นขึ้นมาใหม่
วันๆ กินแต่ยาเป็นกำๆ แทบจะไม่ต้องกินข้าวก็อิ่มแล้วค่ะ น่าสงสารจังเลย!
คุณยายลออยังโชคดีที่มีลูกหลายคน แม้ว่าจะมีครอบครัวไปแล้วก็ยังหมั่นมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ยกเว้นลูกสาวคนเล็กชื่อน้าเอื้องที่ยังไม่ได้แต่งงาน อยู่ดูแลแม่อย่างใกล้ชิดแม้ว่าตัวเองต้องไปทำงาน แต่ก็จ้างญาติๆ ชื่อป้าไพคอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ ทั้งหุงหาอาหารและจัดการให้กินยาครบถ้วนตามคำสั่งหมอ
พวกเราสนิทสนมกันดีค่ะ เนื่องจากอยู่ที่ตลาดพลูมานมนานแล้ว หนูเคยเข้าไปวิ่งเล่นในบ้านนั้นบ่อยๆ คุณยายลออก็กอดรัด ดีอกดีใจที่มีเพื่อนคุย เล่าว่าเคยเป็นครูในโรงเรียนรัฐบาลจนเกษียณ ชั่วชีวิตไม่เคยกินเหล้าและสูบบุหรี่ ไม่รู้ว่าทำไมโรคภัยไข้เจ็บถึงได้เบียดเบียนสาหัสนัก
'ชาติก่อนยายคงจะฆ่าสัตว์ ทารุณสัตว์เอาไว้มาก ถึงแม้ชาตินี้จะไม่เคยทำเลย แต่วิบากมันก็ตามมาเล่นงานจนเจ็บป่วยสารพัด ทรมาทรกรรมจนไม่อยากอยู่อีกแล้ว'
'คุณยายจะฆ่าตัวตายหรือคะ?' หนูเงยหน้ามองคุณยายผู้น่าสงสาร เห็นแต่ใบหน้าดำคล้ำ เหี่ยวย่น ดูแก่เกินวัยเหมือนอายุเจ็ดสิบกว่าปี ผมตัดสั้นขาวโพลน..ดูเผินๆ เหมือนซากศพที่เพิ่งหมดลมหายใจใหม่ๆ
'ยายเคยคิดเหมือนกัน' แกกลืนน้ำอึกใหญ่ นัยน์ตาสีน้ำข้าวเปียกชุ่มเลื่อนลอยไป 'ไม่รู้จะดันทุรังอยู่ไปทำไม เป็นภาระให้ลูกเต้าลำบากลำบน...แม่เอื้องน่าจะมีผัวไปนานแล้ว แต่ยายก็รู้ว่าเขาทิ้งยายไม่ได้ ถ้าเขามีครอบครัวไปแล้วใครจะมาดูแลใกล้ชิด อีกอย่างนะ...ผัวเขาก็คงจะรำคาญที่ได้แม่ยายอมโรคแบบนี้'
น้ำตาแกไหลพรากลงมาหยดบนหลังมือหนูจนอุ่นวาบ เล่นเอาก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกลำคอ ไม่รู้จะปลอบโยนคุณยายลออยังไง...ถ้าหนูเป็นอย่างแกหนูก็คงไม่อยากอยู่เหมือนกัน
วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้นในตอนกลางวันแสกๆ น้าเอื้องไปทำงาน ป้าไพไปจ่ายตลาด...เมื่อกลับมาก็พบว่าคุณยายลออผูกคอตายในห้องนอนชั้นบนใกล้ๆ หน้าต่างพอดี!
หนูกลับจากโรงเรียนรู้ข่าวถึงกับน้ำตาไหลเลยค่ะ พ่อแม่ชวนหนูไปฟังสวดด้วย ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าหมองน่าวังเวงใจ ถึงแม้เพื่อนบ้านจะรู้ดีว่าคุณยายลออคงจะอยู่ได้ไม่นาน แต่คิดไม่ถึงว่าแกจะจบชีวิตตัวเองแบบนี้ ไม่มีใครตำหนิติเตียนหรอกค่ะ มีแต่จะสงสารและเห็นใจกันทั้งนั้น
โลกหน้าคืออะไรไม่มีใครรู้แน่ แต่คุณยายลออก็ได้อำลาความเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสจากโลกนี้ไปแล้ว...
หลังจากการเผาศพผ่านไปได้เกือบเดือน หนูอดมองไปทางหน้าต่างที่ตรงกันกับบ้านที่เกิดเหตุน่าเศร้าไม่ได้ บางคืนแม่ต้องเรียกให้นอน เพราะรุ่งขึ้นต้องไปโรงเรียน หนูเคยแว่วเสียงอะไรกุกๆ กักๆ จากชั้นบนบ้านนั้นตอนดึกๆ แต่ความง่วงงุนก็ทำให้เคลิ้มหลับไป
ไม่รู้ว่าจะเป็นความผูกพันระหว่างหนูกับคุณยายหรือเปล่า? ทำให้หนูเห็นตัวเองลุกไปยืนเกาะขอบหน้าต่าง ท่ามกลางแสงไฟถนนเยือกเย็น สรรพสิ่งเงียบเชียบเหมือนตกอยู่ในโลกร้าง...มีเสียงเคลื่อนไหว กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นชัดเจน...
คุณพระช่วย! ร่างในชุดขาวโพลนของคุณยายลออยืนเด่นอยู่ที่หน้าต่าง มือดำๆ ทั้งสองข้างเช่นเดียวกับใบหน้าของแกยกขึ้นโบกไปมา ขณะที่หนูยืนตะลึงตัวชาวาบ ม่านตาลายพร่าแต่ก็ยังเห็นร่างนั้นหักพับมาด้านนอก ลอยละลิ่วลงมาห้อยโตงเตง นัยน์ตาเหลือกลาน แลบลิ้นยาวแทบถึงหน้าอก ร่างผ่ายผอมกวัดแกว่งไปมาจนหนูยกมือปิดตา กรีดร้องกรี๊ดๆ จนแก้วหูแทบระเบิด
ผวาลุกพรวดพราดขึ้นมาหอบฮั่กๆ เหน็ดเหนื่อยราวใจแทบขาด พ่อแม่รีบปลอบโยนขณะที่หนูร้องไห้โฮเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง...รุ่งขึ้นก็พากันไปหาหลวงพ่อที่วัดกลางให้ช่วยเป่าน้ำมนต์และมอบพระเครื่องให้หนูแขวนคอไว้...ขอให้วิญญาณคุณยายลออไปสู่สุคตินะคะ หนูกลัวจริงๆ ค่ะ!