ฤดูฝนปีนี้มาเร็วนะคะ พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนทีไร ดิฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องสยดสยองที่เคยเจอเมื่อ 7 ปีก่อน ปกติดิฉันรักฤดูฝนมาก ธรรมชาติแสดงพลังอำนาจให้เห็นสายฝนกระหน่ำให้เห็นพลังอำนาจ เสียงฟ้าที่สะเทือนกึกก้อง
แสงที่แปลบปลาบบาดตา ความชุ่มฉ่ำและความสวยงามของสายรุ้ง!
สิ่งที่ดิฉันไม่ชอบในฤดูฝนมีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องฝนตก น้ำท่วม รถติดหรอกค่ะ แต่ในเวลาที่ฟ้าปิด บรรยากาศตอนพลบน่ะ กลิ่นแปลกๆ จะลอยต่ำลงมาเหมือนเรี่ยยอดไม้ยอดหลังคาบ้านต่างๆ มาเรื่อย...กลิ่นคล้ายเผาหนังหมู! กลิ่นผมไหม้ บางทีเหมือนมีใครกำลังทอดปลาเค็มเน่า!
ทุกๆ ปียามฤดูฝนดิฉันจะได้กลิ่นนี้ แม้จะไม่ทุกวัน แต่ได้กลิ่นทีไรก็ขนหัวลุกทุกที เพราะทราบดีว่ามันเป็นกลิ่นเผาศพที่ลอยอวลมาจากวัดแห่งหนึ่งในละแวกนั้น
ที่จริงดิฉันไม่เคยได้ยินใครบ่นเรื่องนี้ให้ฟังสักที อาจจะเป็นเพราะความเชื่อถือที่ว่า...ห้ามพูดว่าเหม็นศพ เพราะเป็นการดูหมิ่นคนตาย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือดิฉันคิดว่าบ้านตัวเองมันอยู่ท้ายซอย ถ้าตรงมาเรื่อยๆ ราว 200 เมตรก็จะเจอกำแพงอิฐ นั่นแหละบ้านดิฉันเอง
ที่ห้องนอนชั้นสองของบ้านจะมีบานหน้าต่างตรงกับถนนเป๊ะ...ห้องนอนดิฉันค่ะ!
ตามหลักฮวงจุ้ยมันไม่ดีเลยใช่ไหมคะ สาเหตุเพราะมีถนนพุ่งตรงแหนวเข้าใส่ แต่จะทำไงได้ล่ะคะ บ้านหลังนี้ปลูกมาตั้งแต่สมัยคุณตาคุณยาย ดิฉันก็อยู่จนใกล้จะ 30 ปี ที่นี่เป็นบ้านของเรา ห้องนอนของเรา! ใครจะทักว่าผิดหลักฮวงจุ้ยอย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่มีปัญญาย้ายไปไหนหรอกค่ะ
เมื่อสภาพแวดล้อมทั่วไปเป็นเช่นนี้ ห้องนอนดิฉันก็มีสภาพเป็นที่ดักกลิ่น!
เวลาบ้านใครทำกับข้าวกลิ่นฉุนๆ อย่างผัดพริก ผัดกะเพรา หรือหมูทอดกระเทียมพริกไทย ทอดปลาสลิด กลิ่นจะมารวมกันที่ดิฉันนี่แหละ... แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากลิ่นเผาศพ
ยามฤดูฝนดิฉันมักจะปิดหน้าต่างบานนี้เสมอ แต่บางทีก็ไม่ไหว อากาศร้อนอบอ้าว ดิฉันเปิดหน้าต่างไว้แต่เช้าก่อนไปทำงาน กว่าจะกลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม จึงต้องรับกลิ่นเผาศพเต็มที่
เมื่อ 7 ปีก่อนดิฉันยังจำได้ว่า ขณะนอนหลับก็ถูกดึงผ้าห่มลงไปทางปลายเท้า ทีแรกนึกว่ามันเลื่อนตกไปเอง ดิฉันสะดุ้งตื่นและตะครุบมันไว้ ก่อนจะดึงขึ้นมาห่มถึงลำคอแล้วทำท่าจะหลับตา แต่ก็ถูกมันดึงอีก...
พอลืมตาขึ้นเพื่อจะยึดผ้าห่มไว้ สายตาก็พลันแลเห็นภาพประหลาดตรงมุมห้อง...มีเงาคนยืนอยู่ตรงนั้น 5-6 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงแก่ๆ และเด็ก...ทุกคนกำลังจ้องมองมาเขม็ง!
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก...เราฝันร้ายไปหรือเปล่านี่? พอขยี้ตาภาพน่ากลัวก็หายไป ดิฉันเลยไม่แน่ใจตัวเองว่าตาฝาด หรือยังไม่ตื่นจากฝันกันแน่?
วันต่อมาราวสองทุ่มดิฉันกลับถึงบ้านก็ขึ้นห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไปก็ผงะเพราะกลิ่นฉุนจัด...กลิ่นเผาศพอีกแล้ว! แต่จะปิดหน้าต่างก็เท่ากับอบกลิ่นไว้ มีทางเดียวคือเปิดหน้าต่างแล้วเปิดพัดลมไล่กลิ่น สักพักหนึ่งก็ค่อยยังชั่ว
ราวห้าทุ่มดิฉันเข้านอน กลิ่นสยองนั่นหายไปแล้ว...
ข้างนอกฟ้าแดง ลมแรง แสดงว่าพายุกำลังจะมา ห้องดิฉันมีแต่พัดลมค่ะ คืนนั้นจึงจำเป็นต้องปิดหน้าต่างเพราะกลัวฝนสาด ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะฟ้าแลบบาดตามาก ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ดิฉันเคยชอบ แต่คืนนั้นรู้สึกกลัวๆ พิกล
แม้จะปิดหน้า แต่เวลาฟ้าแลบแสงก็ยังลอดเข้ามาได้จากช่องแสง...มันเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนหนังผีเข้าไปใหญ่!
ดิฉันนอนบนเตียงและยังลืมตา พอมองไปตามเพดานก็เห็นหยากไย่แมงมุม...ตายจริง! นี่เราละเลยขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย? เพราะคิดมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดิฉันเคลิ้มหลับ...ผู้หญิงผมยาวเกาะใยแมงมุมห้อยหัวลงมาจ้องเขม็ง นัยน์ตาวาวเรืองน่ากลัวจนต้องสะดุ้งตื่น ใจเต็นแรงเหมือนจะทะลักออกมานอกอก
ภาพภายในห้องเหมือนฝัน...แต่ไม่มีผีผู้หญิง!!
ทุกคืนดิฉันฝันร้าย บางทีก็โดนผีอำ ในห้องมีเงาวูบวาบ รู้สึกเหมือนผีผู้คนมากมายพากันขวักไขว่อยู่ในห้องนอน กลิ่นสยองก็ชวนขนลุกบ่อยขึ้นทุกที
วันเสาร์นั้นคุณป้ามาเยี่ยม ดิฉันปรับทุกข์เรื่องนี้ ท่านบอกว่าหยากไย่ใยแมงมุมอาจจะดักเอาฝุ่นเถ้าธุลีหรือกลิ่นจากปล่องเมรุเข้ามาได้ ต้องหาไม้กวาดไปตักของพวกนั้นลงมาจนหมด
หลังจากนั้นก็สบายใจขึ้นมาก ไม่มีฝันร้ายหรือเรื่องสยดสยองอีกเลย...ทุกวันนี้ก็หมั่นทำความสะอาดมุมห้อง เวลามีกลิ่นเผาศพดิฉันก็ทำเฉยๆ ไม่กังวล...แต่นึกกลิ่นสยองก่อนหน้านั้นแล้ว อดขนหัวลุกไม่ได้ค่ะ!