เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมก็ถือว่าสิ้นฤดูฝน ลมหนาวเริ่มจะพัดโชยมาจากประเทศจีนแล้ว แม้ว่าบางปีอาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าฤดูหนาวกำลังย่างกรายเข้ามา ทำให้อากาศเย็นสบาย ไม่ต้องถือร่มกันฝนอีกต่อไป
ยิ่งหนาวมากเท่าไร สาวๆ ชาวกรุงก็ดูเหมือนจะชื่นชมมากเท่านั้น เพราะเปิดโอกาสให้ได้สวมเสื้อสเว็ตเตอร์สีสวยๆ แข่งกันละลานตา
ตรงข้ามกับพี่น้องทางเหนือและอีสานที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะอากาศเย็นยะเยือก หนาวเหน็บจับกระดูกจนต้องออกจากบ้านมาก่อไฟกันหนาว บ้างก็นอนขดงอก่องอขิงข้างกองไฟ เด็กนักเรียนต้องออกไปเรียนที่สนามกลางแดดเพราะความหนาวเหลือทน
หนาวเสียจนคนแก่และเด็กยากจน ขาดแคลนเสื้อผ้ากันหนาว โดยเฉพาะผ้าห่มจนถึงกับหนาวตายปีละหลายคน
ที่น่าขนลุกยิ่งกว่านั้นก็คือน้ำท่วมค่ะ!
ไหนจะฝนตกหนักจนน้ำเต็มเขื่อน ต้นไม้โดนลักลอบตัดโค่นจนแผ่นดินไม่อาจจะซึมซับน้ำได้เหมือนสมัยก่อน แม่น้ำทุกสายไหลแรงจนทะลักล้นเข้าท่วมบ้านเรือน ไร่นาสาโทพินาศย่อยยับ...อย่างปีกลายนี้ไงคะ
ดิฉันเป็นคนวังน้อย อยุธยานี่เอง อยู่ใกล้คลองระพีพัฒน์นิดเดียวเท่านั้น พอเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่เขาก็ทำ คันกั้นน้ำคลองไว้ ก้อนน้ำจำนวนมหาศาลก็เลยไม่ไปไหน ผู้คนก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมานกันถ้วนหน้า
ลองนึกถึงน้ำที่ท่วมลึกเกือบ 4 เมตรก็แล้วกันค่ะ!
ไม่ว่าไร่นา สวนผักล้วนแต่ตายเรียบ ขนาดบ้านคอนเทนเนอร์ซึ่งอยู่บนที่ถมสูงยังโดนน้ำท่วมมิดหลังคาก็แล้วกัน พวกเรือกสวนไร่นาจะไปมีอะไรเหลือล่ะคะ? ต้นไม้ใหญ่น้อยโดนน้ำแช่นานๆ ก็โค่นล้มล่องลอย หรือไม่ก็ยืนเฉาตายน่าสลดหดหู่จนบอกไม่ถูก
ตอนที่น้ำไหลทะลักเข้าบ้าน ดิฉันกับสามีและลูกๆ ช่วยกันขนของไว้ที่สูง แต่ดูแล้วเห็นจะรับไม่ไหวแน่ๆ ต้องช่วยกันขนขึ้นชั้นบนเท่าที่จะขนไหวล่ะค่ะ
น้ำเจิ่งนองไปทั้งบ้าน ตอนกลางคืนได้ยินเสียงปลาร้อง บ้างก็โดดดิ้นโผงผางจนเราสะดุ้ง มองสบตากันแล้วถอนใจ...ไม่นึกว่าในชีวิตจะได้ประสบกับภัยธรรมชาติรุนแรงขนาดนั้น
ไม่อยากจะโทษใครหรืออะไรหรอกค่ะ เพราะทุกคนคงไม่อยากจะให้เกิดเหตุเลวร้ายแบบนี้ อยู่ที่ว่ามีการช่วยเหลือชาวบ้านตาดำๆ อย่างเต็มที่หรือเปล่า? ทำไมจึงมีข่าวว่าบางแห่งแจกถุงยังชีพให้แต่ญาติมิตรเท่านั้น คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกพ้องต้องหน้าแห้ง คอยเก้อไปตามๆ กัน
หนักกว่านั้นคือข่าว 'อมเงิน' กับ 'อมของบริจาค' จากเพื่อนร่วมชาติ รวมทั้งปล่อยให้เสื้อผ้ากับของกินของใช้จมน้ำเน่าเสียไปมากมาย
คิดอีกทีก็ต้องบอกตัวเองว่า...ช่างมัน!!
เกิดเป็นคนไทยไม่ว่ายุคไหน สมัยใด ก็ต้อง ก้มหน้าท่องคาถา 'อดทน' จนถึง 'ทนอด' ให้ได้ ไม่รู้ว่าจะร้องแรกแหกกระเชอเอากับใคร ท่านผู้มีอำนาจวาสนาก็ล้วนแต่ทำหูทวนลม หรือไม่ก็ ท่องคาถาว่า 'ทำดีที่สุดแล้ว' เหมือนกันทุกคนแหละค่ะ
ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกเล็กๆ สู่กันฟังก่อน แล้วค่อยต่อด้วยเรื่องขนหัวลุกใหญ่ๆ
ตอนน้ำท่วมใหญ่เราลำบากกันหนักหนาสาหัส ไปไหนไม่ได้เลย ของกินของใช้ที่ล้วนจำเป็นโดยเฉพาะน้ำดื่มขาดแคลนไปหมด ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งเปล่าเปลี่ยว แสนจะน่าวังเวงใจ ฟังแต่เสียงคลื่นเสียงลมน่ากลัว...
คืนหนึ่งราวสามทุ่ม เราเตรียมตัวจะเข้านอนกันพอดี แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากชั้นล่าง บางครั้งก็ร้องไห้ดังๆ น่าขนลุก
ใครที่ไหนกันจะว่ายน้ำเข้าบ้านมาสะอื้นไห้น่าสยดสยองปานนั้น?
เดี๋ยวดังเดี๋ยวเงียบ แต่เราไม่กล้าลงไปดูหรอกค่ะ คืนนั้นได้แต่สวดมนต์ภาวนาว่าอย่าให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเลย อีกทั้งหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความหวาดระแวงไปทั้งคืน
รุ่งขึ้นรีบโผล่ไปดูก็ไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำขุ่นคลั่กเต็มบ้านเหมือนเดิม ตะขาบกับงูเลื้อยคลานอยู่บนกอ ผักตบชวา เล่นเอารีบปิดประตูไม่ทัน...คืนต่อๆ มาถือว่าโชคดีที่ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้อีกเลย
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องขนหัวลุกระดับใหญ่โต คิดว่าท่านผู้อ่านก็คงจะรู้สึกหวาดระแวงแบบดิฉันเช่นกัน
นั่นคือ ใกล้จะถึงเดือนกันยายน-ตุลาคมอีกแล้ว ถ้าเกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวงอย่างปีกลายขึ้นมาอีก พวกเราจะสยดสยองพองขนกันปานใดหนอ? คิดแล้วขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!!