คืนสู้เปรต

ณรงค์ สุวรรณมาศ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพกพระสู้เปรตที่ลพบุรี

สมัยเด็กผมอยู่จังหวัดลพบุรี ขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมก็มีเพื่อนฝูงมากมายตามประสาวัยรุ่น แต่ที่สนิทกันมากเป็นพิเศษมีอยู่คนหนึ่งชื่อจรัญ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง และเรายังติดต่อพบปะกันอยู่เสมอ

ตอนที่ยังเรียนหนังสืออยู่นั้น เรามักจะไปเที่ยวเตร่กันอย่างสนุกสนานอยู่เสมอ บางครั้งก็มีเพื่อนๆ คนอื่นไปด้วย แต่ส่วนมากเรามักจะไปด้วยกันเพียงลำพัง

สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรามีนิสัยชอบการต่อสู้ผจญภัยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องหมัดๆ มวยๆ เป็นสิ่งโปรดปรานมากที่สุด

สมัยก่อนมักจะมีเวทีมวยตามงานวัด ถ้ามีโอกาสผมกับจรัญก็จะหาค่าขนมโดยการขึ้นชกมวย ซึ่งมีชนะบ้างแพ้บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนมากเรามักจะได้รับการชูมือบ่อยกว่าการพ่ายแพ้...ไม่ได้โม้นะครับ!

วันหนึ่งผมกับจรัญได้ไปเปรียบมวยที่งานวัดใกล้ๆ หมู่บ้านนี่เอง

เมื่อได้คู่ชกเรียบร้อยแล้ว เราต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อรอการชกในคืนนั้น ซึ่งมวยตามงานวัดส่วนมากมักจะเริ่มชกราว 3 ทุ่มและ 4 ทุ่ม กว่ามวยจะเลิกก็ค่อนข้างดึกเอาการ

วัดดังกล่าวนั้นเป็นที่ร่ำลือว่าผีดุนักหนา และทางที่เราจะไปวัดก็ต้องผ่านป่าช้าเสียด้วย

เรื่องชกต่อยกับคนด้วยกันนั้นพอไหว แต่ถ้าให้ต่อยกับผีน่ะ ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเลยครับว่าไม่ไหวแน่...ความกลัวเรื่องผีๆ สางๆ ทำให้ผมครุ่นคิดถึงวิธีป้องกันตัว หรือการสู้ผีขึ้นมาจนได้

นั่นคือคุณพ่อผมเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยง เห็นใส่พานเยอะแยะวางไว้บนหิ้งบูชา ผมน่าจะนำติดตัวไปซักองค์ เชื่อว่าถ้าผีมีจริงก็ต้องกลัวพระเครื่องแน่ๆ

ก่อนที่จะออกไปชกมวย ผมได้เดินเข้าไปในห้องพ่อ เห็นพระเครื่องในพานราว 20 องค์ ไม่ทราบว่าจะหยิบองค์ใดติดตัวไปดีหนอ? แต่เห็นองค์หนึ่งเนื้อดำสนิทเป็นที่สะดุดตามากกว่าองค์อื่นๆ ผมจึงหยิบใส่กระเป๋าเสื้อไป

หลังจากผมกับจรัญขึ้นชกชนะคู่ต่อสู้ทั้งสองคนแล้ว เราก็หาของกินจนอิ่มหนำ เดินดูมหรสพต่างๆ จนกระทั่งเลิกงาน

คืนนั้นเป็นคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือนหงายกระจ่างฟ้า เราชวนกันเดินกลับบ้านโดยจำเป็นต้องผ่านป่าช้ายามดึกสงัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีเสียงลมพัดยอดไม้วู่หวิวซู่ซ่า ระคนเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมไปหมดชวนให้วังเวงใจ

ทันใดนั้น เสียงต่างๆ ก็เงียบหายไปกะทันหัน!

'กรี๊ด...กรี๊ด...' เสียงหวีดแหลมคล้ายเสียงนกหวีดดังแทรกซ้อนขึ้นมาทางด้านหลัง...เราหันขวับไปพบกับต้นไม้แปลกประหลาดคู่หนึ่งกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ กระทั่งเงยหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ก็แทบช็อกคาที่...

คุณพระช่วย! มันไม่ใช่ต้นไม้! แต่สิ่งนั้นคือเปรตอสุรกายสูงลิ่วกำลังเดินโย่งเย่งเข้ามาหาเรา พลางกรีดร้องเสียงเยือกเย็นโหยหวน เล่นเอาจรัญร้องเฮ้ย! ทำท่าจะวิ่งอ้าวทันทีแต่ผมรีบคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน บอกเสียงสั่นเครือว่า...ไม่ต้องกลัว คืนนี้พกพระติดตัวมาด้วย

ผมพูดพร้อมกับเอามือตบกระเป๋าเสื้อที่พกพระองค์ดำสนิทไว้ด้วย แต่เปรตนรกนั่นยังเดินตามเรามาเรื่อยๆ จนผมเกิดความกล้าบ้าบิ่นขึ้นมา คำรามว่า...ลองสู้กับเปรตดูซักยกซีวะ!

จรัญคงพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้า เราจึงหันหลังเดินทื่อเข้าไปหาเปรตทันที

สวรรค์โปรด! พอเห็นเราก้าวเดินเข้าไปหา มันกลับชะงักแล้วเดินถอยหลัง พอเราหยุดมันก็หยุดด้วย แต่พอเราหันกลับออกเดินต่อมันก็เดินตามมาอีก ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกสิ้นดี...มันเดินตามเราจนพ้นเขตป่าช้าจึงได้หายลับไป

เท่านั้นเอง ผมกับจรัญก็ออกเผ่นอ้าวเป็นลมพัดโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย!

วันรุ่งขึ้น ผมไปดูกระเป๋าเสื้อเพื่อจะนำพระเครื่องสีดำไปไว้บนหิ้งตามเดิม แต่ปรากฏว่าหายไปแล้ว...คงจะหล่นตกหายตอนที่วิ่งหนีเปรตเมื่อคืนนี้แน่นอน

ผมใจไม่ดีเลยเพราะกลัวพ่อจะรู้ ถ้าถามก็จะยอมรับ แต่ยังไม่ถามก็ขอเฉยไว้ก่อน

ราวอาทิตย์ต่อมา พ่อใช้ให้ผมไปหยิบสร้อยพระเครื่องซึ่งแขวนไว้บนหิ้งพระ ผมอดชำเลืองไปที่พานพระเครื่องไม่ได้...ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นพระองค์นั้นยังวางอยู่ในพานตามเดิม

ผมเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟัง พ่อบอกว่านั่นคือพระรอดวัดมหาวัน ลำพูน มีพุทธคุณทางป้องกันภูตผีปีศาจ การนำท่านติดตัวไปไหนจะต้องกล่าวอาราธนาท่านด้วย ไม่ใช่หยิบไปเฉยๆ

ปัจจุบันพระรอดลำพูนดำองค์นั้น พ่อได้ให้ไว้เป็นสมบัติของผม และยังห้อยคอผมอยู่จนทุกวันนี้เลยครับ!

คืนสู้เปรต

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์