ครอบครัวเล็กๆ ของเรามีกันแค่สามคน คือพ่อ แม่และผม ซึ่งกำลังเรียนอยู่ม.4 เดิมเราอยู่แฟลตทหารกันครับเพราะพ่อเป็นทหาร แต่ต่อมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อพ่อได้มรดกจากคุณปู่ และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ผมเจอเรื่องน่าสยดสยองสุดขีด
แฟลตที่ผมอยู่กับพ่อแม่มาแต่เกิดดูคับแคบลงไปถนัดเมื่อผมโตขึ้น พอดีพ่อได้เงินมรดกก็เลยตัดสินใจย้ายด้วยการไปซื้อบ้านพร้อมที่ดินในซอยลึกย่านสะพานใหม่
บ้านในซอกซอยคดเคี้ยวหลังนี้ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรหรอกครับ
เป็นบ้านขนาดสามห้องนอนในเนื้อที่เกือบร้อยตารางวา เจ้าของบ้านเดิมเขาขายเพราะเขาจะไปอยู่เมืองนอกกัน ผมละตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะคราวนี้ผมได้มีห้องส่วนตัว หน้าต่างด้านทิศใต้เปิดออกไปเจอมะม่วงต้นใหญ่ ถ้ามันออกลูกละก็เอื้อมไปเด็ดมากินได้สบายเลย
ห้องของผมมีแอร์ด้วยนะครับ แต่ผมไม่ชอบเพราะมันหนาว ผมชอบพัดลมมากกว่าเวลาอยู่ในห้องหรือเวลานอนก็เปิดหน้าต่างออกไป ปิดไว้แต่บานมุ้งลวด...แค่นี้ก็สบายแล้ว!
ผมมัวแต่ตื่นเต้นบ้านหลังใหม่และห้องใหม่จนไม่ได้คิดอะไรที่มันน่ากลัว แม่บอกว่ากลัวขโมยจะปีนต้นมะม่วงเข้าห้องผมได้...
แหม! แม่นี่กลัวอะไรไม่รู้ซิ?!
ผมไม่กลัวหรอก แต่พอแม่เตือนก็ได้เวลาที่ผมหายเห่อห้องใหม่พอดี ผมเริ่มมองต้นมะม่วงด้วยความรู้สึกแปลกๆ และสังเกตว่าถ้าเป็นเวลาใกล้พลบค่ำ มะม่วงต้นนี้จะมีอะไรบางอย่างที่ดูเศร้าๆ และความรู้สึกนี้มันกวนใจผมพิลึกละ
บางคืน ผมตื่นเพราะได้ยินเสียงเคาะที่กระจกหน้าต่างที่เปิดไปทางมะม่วงต้นนั้น แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าใช่ ลมอะไรจะแรงขนาดนั้น ยกเว้นแต่ว่าจะมีพายุ
คืนหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงนี้อีกแล้ว!
ตอนนั้นผมกำลังหลับอยู่ดีๆ ก็ต้องตื่นเพราะเสียง ก๊อกๆๆ ผมเลยคิดว่าจะเดินไปปิดหน้าต่างกระจกลงมา กิ่งมันจะได้ไม่ปัดโดนให้เกิดเสียงดัง
แต่พอผมไปยืนที่หน้าต่าง ท่ามกลางความมืดทั้งในห้องและนอกห้อง นัยน์ตาผมก็เหลือบเห็นสิ่งหนึ่งอยู่บนกิ่งใหญ่ ระดับเดียวกับหน้าต่างของผมเข้าพอดี!
มันเหมือนกับผ้าขาวๆ พาดอยู่บนกิ่งไม้ครับ มีการขยับเขยื้อนนิดหน่อย แต่พอจ้องมองมันก็ชัดขึ้น...ชัดขึ้นทุกที
ผมเห็นเป็นผู้หญิงผมยาว แต่งชุดขาวๆ นั่งอยู่กับกิ่งมะม่วง ใบหน้าของเธอหันมาทางผม...จ้องมองสบตากับผมนิ่งแน่ว เยือกเย็น จนขนอุยที่ท้ายทอยผมลุกเกรียว ปากคอแห้งผากแทบเป็นผุยผงในบัดดล!
ผีแน่ๆ ผมชัวร์ว่าต้องเป็นผี ไม่ใช่ขโมยขโจรอะไรเด็ดขาด...
ฉับพลันทันทีที่คิดได้ ผมรีบรูดม่านปิดเพื่อกั้นช่องว่างระหว่างผมกับผี แล้วก็รีบวิ่งไปห้องพ่อแม่ เคาะประตูเรียกเสียงลั่นบ้าน
พ่อเปิดประตูออกมา พอรู้เรื่องก็หัวเราะ บอกว่าผมฝันร้าย ตาฝาด ไม่มีผีสางที่ไหนหรอก...อย่ากลัวไม่เข้าเรื่อง! แล้วพ่อก็พาผมมาเปิดม่านออกดู แต่ไม่มีอะไรนอกจากต้นมะม่วงยืนทะมึนอยู่ในความมืดตามปกติเท่านั้นเอง
ตั้งแต่คืนนั้น ผมไม่เปิดกระจกห้องรับลมธรรมชาติอีกเลย
ผมปิดหน้าต่าง ปิดม่านทุกด้าน แล้วก็เปิดแอร์นอน
แม่ผมซีครับ ไปสืบกับแม่ค้าส้มตำในซอยจนรู้ว่าบ้านหลังนี้ ที่เจ้าของต้องรีบขายในราคาถูกก็เพราะสาวใช้พม่าของเขาเกิดน้อยใจอะไรก็ไม่รู้ เธอเลยผูกคอตายที่มะม่วงต้นนั้นเอง!
ห้องที่ผมอยู่น่ะ เดิมเป็นห้องลูกสาวเจ้าของบ้าน ซึ่งก็โดนหลอกหลอนจนร้องกรี๊ดๆ กลางดึกหลายครั้ง กระทั่งทนอยู่ไม่ไหว
พอพ่อผมได้ยินเรื่องนี้เข้าก็ทำหน้าขรึมๆ ตามฟอร์ม นัยน์ตามีแววครุ่นคิด ไม่เอ่ยปากว่าเชื่อหรือไม่เชื่อประการใด แต่ก็ให้ลูกน้องมาช่วยตัดต้นมะม่วงซะไม่เหลือแม้แต่ตอ แล้วก็ทำบุญบ้านเป็นงานใหญ่
ถึงแม้ต้นมะม่วงจะถูกถอนรากโคนไปแล้ว แต่ผมยังรู้สึกลึกๆ ในใจว่า...วิญญาณของสาวใช้ผู้อาภัพคนนั้นยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ
ผมยังนอนในห้อง แต่ขอเอาพระพุทธรูปมาตั้งบูชา และผมไม่ยอมเปิดหน้าต่างกับม่านด้านนั้นอีกเลย กลัวว่าจะเห็นภาพน่าขนหัวลุกเข้าเต็มลูกตาเหมือนคืนนั้นน่ะซีครับ! บรื๋อออ...