10 เรื่องเล่าสุดหลอน...ที่น่ากลัวที่สุดตลอดกาลจากรายการ The Shock
พอผ่านไปซักอาทิตย์นึง คุณโอ๋ก็แวะดื่มหลังเลิกงานแถวๆใต้อพาร์ทเมนท์ แล้วก็มีพี่คนนึงชื่อว่า พี่โจ เดินมาทักคุณโอ๋ว่า น้องอยู่ชั้น 5 นี่หว่า พี่เคยเห็นอยู่ คุณโอ๋ก็ตอบไปว่า ใช่ครับ ผมอยู่ชั้น 5 พี่มีอะไรหรือเปล่า พี่โจก็บอกว่าไม่มีอะไร พี่อยู่ห้อง 512 ติดกับห้องแองแหละ คุณโอ๋ก็ทำความรู้จักกับพี่โจ พอกินเหล้าไป คุยไปคุยมาก็รู้สึกถูกคอ พอเลิกงานในแต่ละวันก็มานั่งกินเหล้ากับพี่โจด้วยกันทุกวัน หลังจากอยู่ได้ 2 อาทิตย์วันนั้นคุณโอ๋เลิกงานมาตอน 5 โมงครึ่งเดินกลับมาที่พัก พอถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ก็เห็นว่า มีคนเยอะแยะมุงอะไรอยู่ไม่รู้ที่ใต้ตึก และมีตำรวจอยู่ด้วย คุณโอ๋เลยเดินเข้าไปดู ก็เห็นศพของผู้ชายคนนึงที่โดดตึกลงมาตาย แต่คุณโอ๋ก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้รู้จักด้วย ก็เดินเข้าไปในตึกขึ้นลิฟท์กลับห้อง พอออกจากลิฟท์ก็เห็ตำรวจยืนอยู่เต็มหน้า ห้องของคุณโอ๋เลย คุณโอ๋ก็เลยถามตำรวจว่า พี่ มีอะไรหน้าห้องผมหรือเปล่า ตำรวจก็บอกว่า ห้องตรงข้ามน้องโดดตึกตาย คุณโอ๋ก็ไม่ได้กลัวอะไร แต่ก็มีหวั่นๆบ้าง แต่ก็จะย้ายก็ย้ายไม่ได้ เพราะอยู่แค่เดือนเดียว อีก 15 วันก็จะกลับอยู่แล้ว คงไม่มีใครให้เช่า และก็คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้เขา เราก็อยู่ส่วนของเรา คงไม่มีอะไร ประมาณวันที่ 17 - 18 พี่โจมาบอกกับคุณโอ๋ว่า โอ๋ พี่ต้องกลับบ้านไปหาแม่ 2 วันหวะ แม่พี่ป่วย เดี๋ยวพี่กลับมานะ ผ่านไป 2 วัน พี่โจก็กลับมา ตอนนั้นเวลา 4 ทุ่ม พี่โจก็มาเคาะประตูห้องคุณโอ๋ถามว่า โอ๋ กินไรยังวะ กินเหล้าป่าว แต่วันนั้นคุณโอ๋เหนื่อยมาจากงานเลยตอบไปว่า วันนี้ไม่กินหรอกพี่ ผมเหนื่อย พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน พี่โจก็บอกว่า งั้นพี่ไปนอนละนะ และก็ตั้งแต่ที่ผู้ชายที่อยู่ห้องตรงข้ามตายไปก็มีอะไรแปลกๆตลอด เช่น วันนั้นคุณโอ๋เลิกงานกลับมาตอน 3 ทุ่มเดินเข้าไปในลิฟท์ก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีดำกางเกงขายาว ยืนอยู่ตรงหน้าแป้นกด คุณโอ๋ก็บอกไปว่า ชั้น 5 ด้วยครับ ผู้ชายคนนั้นก็กดชั้น 5 ให้ พอลิฟท์เปิด ผู้ชายคนนั้นเดินออกจากลิฟท์มาก่อน และคุณโอ๋ก็เดินตามเขามาเรื่อยๆ พอผู้ชายคนนั้นเดินมาถึงหน้าห้องคุณโอ๋เขาก็เลี้ยวขวาไปทางห้อง 506 ทะลุกำแพงไปต่อหน้าต่อตาคุณโอ๋ คุณโอ๋ก็ยืนอึ้งอยู่พักนึง และคิดว่าตัวเองตาไม่ฝาด เพราะเห็นตั้งแต่อยู่ในลิฟท์แล้ว ตอนนั้นก็คิดในใจว่า อยากทำไรก็ทำไป ถ้าอยากจะขอส่วนบุญก็มาดีๆหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณโอ๋ก็ไปทำงานตามปกติ หลังเลิกงานตอนนั้นก็มากินเหล้ากับพี่โจเหมือนเคย วันนั้นคุณโอ๋นั่งกินเหล้าอยู่ที่ห้องของคุณโอ๋ ซึ่งปกติพี่โจจะเป็นคนที่ไปซื้อ เพราะว่าอยู่ที่อพาร์ทเมนท์นี้มานาน สามารถเซ็นไว้ได้ แต่คราวนี้พี่โจบอกให้คุณโอ๋ไปซื้อ พี่ไม่อยากลงไปหวะคุณโอ๋ก็ถามว่า ทำไมหรอพี่ ผมไม่ค่อยมีตัง พี่โจก็บอกว่า เออ ซื้อไปก่อน มีเท่าไรก็ซื้อมาเท่านั้นแหละ พอซื้อเหล้าขึ้นมาคุณโอ๋ก็มานั่งกินอยู่กับพี่โจ หลังจากนั่งกินไปซักพัก พี่โจก็เปิดประเด็นขึ้นมาว่า โอ๋ กลัวผีป่ะ ตอนนั้นคุณโอ๋คิดว่าคงเป็นเรื่องของห้องตรงข้าม คุณโอ๋ก็ถามกลับไปว่า ทำไมหรอพี่ พี่โจก็ตอบกลับมาว่า เปล่า พี่ก็ถามโอ๋เฉยๆ กลัวโอ๋จะกลัว คุณโอ๋ก็ตอบไปว่า ไม่กลัวหรอก แล้วก็เล่าเรื่องที่คุณโอ๋เจอผู้ชายในลิฟท์ให้พี่โจฟัง พอกินเหล้าเมาต่างคนก็แยกย้ายกลับห้องไปนอน คุณโอ๋ก็เข้าไปอาบน้ำ ปกติคุณโอ๋จะไม่ล็อคประตูห้อง เพราะว่าในห้องก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวหาย เป็นห้องเปล่าๆ คุณโอ๋ก็อาบน้ำในห้องน้ำอยู่ ระหว่างที่อาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตูเปิด ก็คิดว่าพี่โจเดินเข้ามา คุณโอ๋ก็เปิดประตูออกไปดู กำลังจะถาม แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้อง ตอนนั้นคุณโอ๋ก็คิดว่าพี่โจคงเข้ามาแล้วก็ออกไปแล้ว แต่ก็แปลกใจว่าทำไมไม่ปิดประตูห้องให้ พอวันถัดไป คุณโอ๋ก็ได้ยินเสียงห้องตรงข้ามทะเลาะกันบ้าน ตีกันบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ ห้องนั้นอยู่ด้วยกัน 2 ผัวเมีย พอผู้ชายโดดตึกตาย ผู้ชายก็เก็บของย้ายออกไป บางทีก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู พอเปิดประตูออกไปก็ไม่เจอใคร เวลาเจอทุกครั้งก็จะมาเล่าให้พี่โจฟังตอนนั่งกินเหล้าด้วยกันเสมอๆ แต่พี่โจก็บอกว่า ทำไมพี่ไม่เคยเจอ
จนมาถึงวันที่ 28 คุณโอ๋ก็ใกล้จะกลับกรุงเทพแล้ว เลยเดินไปเคาะประตูห้องพี่โจ แต่ก็ไม่มีใครเปิด เรียกเท่าไรพี่โจก็ไม่ขานตอบ คุณโอ๋ก็เลยเข้านอน พอวันที่ 29 คุณโอ๋ทำงานกลับมา ก็มาเคาะประตูเรียกอีก พี่โจก็ไม่เปิดประตูออกมาทั้งที่ห้องเหมือนกันว่าล็อคอยู่จากด้านใน คุณโอ๋ก็คิดในใจ พี่แกออกไปไหนวะ ไปไหนทำไมไม่บอก จะกลับอยู่แล้วเนี่ย โทรไปก็ไม่รับ จนถึงวันที่ 30 คุณโอ๋ก็ต้องกลับละ ก่อนกลับคุณโอ๋ก็ลงไปเคลียร์ค่าห้องกับเจ๊เจ้าของหอที่อยู่ข้างล่างตึก ระหว่างที่เคลียร์ค่าห้อง คุณโอ๋ก็ถามเจ๊ว่า เจ๊ๆ เจ๊เห็นพี่โจบ้างมั๊ย ผมโทรแกก็ไม่รับ เคาะประตูก็ไม่เปิด เจ๊ก็ถามว่า โจไหน คุณโอ๋ก็ตอบว่า โจที่อยู่ห้อง 512 ไง เจ๊ก็ตกใจ ห๊ะ ห้องไหนนะ คุณโอ๋ก็ตอบไปว่าห้อง 512 เจ๊ก็บอกกับคุณโอ๋ว่า ห้อง 512 เขาคืนห้องไปตั้งแต่กลางเดือนแล้วนะ คุณโอ๋ก็บอกไปว่า เขาจะคืนห้องได้ยังไง ผมเจอพี่โจอยู่ทุกวัน กินเหล้าด้วยกันอยู่ทุกวัน แต่เจ๊ก็ยืนยันว่าคืนห้องไปแล้วจริงๆ ก็เลยขึ้นไปเปิดห้อง 512 ให้คุณโอ๋ดู พอมาถึงที่ห้อง 512 ก็มีกุญเจตัวยูคล้องหน้าห้องอยู่
พอเปิดเข้าไปในห้องก็เป็นห้องเปล่าๆ ไม่มีใครอยู่ คุณโอ๋เลยตัดสินใจโทรหาพี่โจอีกที โทรไปรอบแรกยังไม่รับ โทรไปอีกรอบ รอบนี้มีคนรับ คุณโอ๋ก็ถามว่า นี่ใครครับ ปลายสายก็ตอบมาว่า นี่แม่ของโจ คุณโอ๋ก็ถามว่า แล้วพี่โจหละครับ แม่ของพี่โจก็นิ่งไปซักพักและร้องไห้ แล้วบอกว่า โจเสียแล้วลูก คุณโอ๋ก็ถามว่า เสียไปตั้งแต่เมื่อไร ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย แม่ก็บอกว่า เสียไปตั้งแต่ตอนที่มาหาแม่ที่โรงพยาบาล ตอนขากลับรถกระบะที่พี่โจขับเสียบท้ายรถพ่วงที่จอดอยู่ข้างทาง คอหักเสียชีวิต แล้วคุณโอ๋ก็เล่าเรื่องที่เจอพี่โจให้แม่พี่โจฟัง แม่ก็ถามว่าจริงหรอลูก คุณโอ๋ก็ตอบไปว่า จริงครับ ให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้
ตกเย็นวันนั้นแม่ก็มาจากต่างจังหวัดมาที่อพาร์ทเมนท์แห่งนี้พร้อมกับนิมนต์พระมาเชิญวิญญาณของพี่โจกลับบ้าน ทางหอก็ยืนยอมเพื่อความสบายใจของแม่ ทีนี้พอคุณโอ๋กลับมากรุงเทพแล้ว วันนั้นคุณโอ๋ทำงานอยู่ ก็มีเบอร์พี่โจโทรมาหา 2 สาย แต่ไม่ได้รับ พอคุณโอ๋พักจากงาน ก็โทรกลับไปคิดว่า แม่ของพี่โจคงมีอะไรจะถามหรือคุยอะไรด้วยแน่ๆ แต่พอโทรกลับไป 2-3รอบก็ไม่มีคนรับ และโทรอีกครั้งนึง ก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนปิดเครื่อง พอคุณโอ๋วางโทรศัพท์ก็มีไลน์เด้งเข้ามา เป็นไลน์ของพี่โจ เป็นรูปคู่ของพี่โจและคุณโอ๋ที่ถ่ายด้วยกันตั้งแต่ตอนที่นั่งกินเหล้าด้วยกัน แต่พอส่งสติ๊กเกอร์กลับไป ทุกวันนี้รูปนั้นก็ยังอยู่ และสติ๊กเกอร์ที่คุณโอ๋ส่งกลับไปก็ยังไม่มีคนอ่าน
วันนั้นคุณอีฟกลับห้องมาก็มืดแล้วเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ ห้องคุณอีฟอยู่ชั้น 4 ห้อง 418 พอถึงห้องได้ยินเสียงคนคุยกันในห้อง เดินไปเดินมาในห้อง ก็คิดว่าเพื่อนเราอยู่ ก็เลยเคาะประตู แต่นานมากก็ยังไม่มีใครเปิด คุณอีฟก็ไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป แต่ว่าในห้องปิดไฟ ไม่มีมีใครอยู่ คุณอีฟก็คิดว่า อ้าว แล้วเมื่อกี๋เสียงใครหละ และเปิดไฟในห้อง ก็เหมือนเพื่อนคนนึงนั่งอยู่บนเก้าอี้อ่านหนังสือ ผมยาว ใส่ชุดนักศึกษา กระโปรงพีชสั้นประมาณเข่านั่งอยู่ ก้มหน้าก้มตาไม่พูดกับใคร ตอนนั้นคุณอีฟก็อารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะโดนรุ่นพี่ด่ามา เลยมาใส่อารมณ์กับเพื่อนและถามเพื่อนว่า เราเคาะประตูทำไมไม่เปิดให้เรา เป็นอะไร เพื่อนก็เงียบ ถามทำไมไม่ตอบ เพื่อนก็ไม่พูด คุณอีฟถามต่ออีกว่าแล้วเพื่อนอีกคนนึงไปไหน ผู้หญิงที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น คุณอีฟเลยพูดขึ้นว่า งั้นเราอาบน้ำแล้วนะ เราเหนื่อย ก็เลยหยิบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำ เปิดเพลงเอาไว้ เข้าไปยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย ก็มีโทรศัพท์ดังเข้ามา ก็เป็นเมทคนนึงโทรมาถามว่าอีฟอยู่ไหน คุณอีฟก็ตอบว่าอยู่ห้องเนี่ย จุ๊บ ก็อยู่นะ
เพื่อนก็เงียบและบอกว่า จุ๊บ อยู่กับเรา คุณอีฟก็บอกไปว่า ไม่จริงอ่ะ จุ๊บอยู่ในห้องกับเรา เพื่อนก็บอกว่า เนี่ยเดี๋ยวเราให้คุยกับจุ๊บ เพื่อนก็ส่งโทรศัพท์ไปให้จุ๊บ จุ๊บก็พูดว่า ว่าไง เป็นอะไรหรือเปล่า คุณอีฟก็คิดว่า อ้าว แล้วใครอยู่ในห้องนะ เลยบอกกับเพื่อนไปว่า แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราโทรไป และยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ตอนนั้นคุณอีฟก็จินตนาการไว้แล้วว่า ถ้าเปิดประตูห้องน้ำออกไป ถ้าเจอเขายืนอยู่หน้าห้องน้ำ จะทำยังไง พอคุณอีฟตั้งสติได้ก็เปิดประตูและวิ่งออกไป จังหวะที่วิ่งออกไปก็ไม่เจอใครนั่งเก้าอี้แล้ว หลังจากวันนั้นคุณอีฟก็ย้ายไปอยู่กับเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันที่ชั้น 5 ที่ห้องของเพื่อนจะมีเตียงว่าง 1 เตียง พอคุณอีฟย้ายมาอยู่ห้องนี้ ก็จะมีคนที่มีเซ้นส์มาบอกว่าเห็นมีคนเข้าๆออกๆอยู่บ่อยมาก บางทีก็มีคนข้างๆห้องมาเคาะประตูด่าตอนกลางคืนว่า เล่นเกมเมื่อไรจะนอนซักที คุณอีฟก็ตอบไปว่า เรานอนแล้วนะ บางทีก็มีคนมาบอกว่า ห้องนี้เมื่อไรจะออกไปซักที ดึกดื่นไม่รู้จะคุยอะไรกันนักหนา คุณอีฟก็ตอบไปว่าเราไม่ได้คุย คนแทบทั้งชั้นก็มารุมด่าห้องคุณอีฟอยู่ห้องเดียว คุณอีฟก็รู้สึกว่าเริ่มจะไม่ค่อยดีแล้ว เลยหายันต์มาแปะในห้อง
และมีอยู่วันนึง รุ่นพี่ของคุณอีฟมานั่งเล่นในห้อง และออกไปนั่งเล่นเน็ตอยู่ตรงข้างนอกตรงระเบียงห้อง ส่วนคุณอีฟก็นั่งเล่นคอมอยู่บนเตียง และก็มีเพื่อนอีกคนนึงนอนอยู่ ระหว่างที่คุณอีฟนั่งเล่นคอม ก็ได้ยินรุ่นพี่บอกว่า เดี่ยวพี่ไปนอนก่อนนะอีฟ คุณอีฟก็นอนเล่นคอมต่อไป จังหวะที่เล่นคอมได้ยินผู้หญิงร้อง ร้องดังมากมาจากหลังห้อง เสียงก็เข้ามาใกล้ๆ จนมาถึงที่เพื่อนของคุณอีฟนอน คุณอีฟก็ปลุกเพื่อนและถามว่า ร้องอะไร เพื่อนก็ตอบว่า ไม่ กูไม่ได้ร้อง หลังจากคุณอีฟเล่นคอมเสร็จคืนนั้นคุณอีฟก็นอน แต่นอนไปซักพัก ก็มีคนมาเคาะประตู ต้อนนั้นคิดว่าจะมีใครมาด่าอะไรอีกละ เลยเปิดประตูออกไปดู แต่ก็ไม่มีใคร ไฟตรงทางเดินหน้าห้องดับหมดเลย ตรงทางเดิน คุณอีฟก็ปิดประตู กลับเข้ามานอนตอ่ และระหว่างที่นอนก็มีคนมาลูบที่คอ ลูบไปลุบมา ซักพักเตียงที่นอนก็ยวบๆ เหมือนมีคนหลายๆคนขึ้นมาเหยียบและเดินไปเดินมาบนเตียง แต่ก็มีเสียงของผู้ชายคนนึงดังขึ้นมาบอกว่า ท่องตามเรา ท่องนะโมนะยังไงก็รอด
แล้วก็เป็นเสียงหัวเราะของคนหลายๆคน ตบมือหัวเราะ สนุกมาก เหมือนเขาเข้ามาเล่นในห้องเรา คุณอีฟพยายามขยับตัว แต่ลุกไม่ได้ ไม่ไหวหายใจไม่ออก เลยนึกถึงแม่ ก็ได้สติขึ้นมา แล้วก็เรียกเพื่อนที่ชื่อนุ้ย ถามว่าเปิดไฟได้มั๊ย นุ้ยตอบว่า เปิดดิ คุณอีฟก็บอกอีกว่าเปิดทุกดวงเลยนะ พอไฟเปิดขึ้นมา คุณอีฟเห็นเพื่อนนั่งขดอยู่ตรงมุมห้องเหงื่อเต็มตัว อาการเหมือนคนหอบ คุณอีฟก็ถามว่าเป็นอะไร นุ้ยก็ตอบกลับมาว่า กูต้องถาม ว่าเป็นอะไร คุณอีฟก็ตอบว่า กูไม่ได้เป็นอะไรกูแค่ฝันร้าย นุ้ยก็ตอบกลับมาว่า ไม่ใช่ กูไม่ได้เห็นฝันร้าย คุณอีฟก็ถามว่า แล้วเห็นอะไร นุ้ยตอบว่า กูเห็นนอนตาเหลือกขึ้นมา แล้วดิ้นเหมือนคนจะตาย พออ้าปากพูดอะไรสักอย่างก็เหมือนคนจะหายใจไม่ออก คุณอีฟก็ถามว่าแล้วทำไมไม่ปลุก นุ้ยก็ตอบว่า ปลุกไม่ได้ๆ กูเห็นใครไม่รู้ เต็มไปหมดเลย อยู่ตรงนั้นแล้วก็ชี้มือมาที่คุณอีฟ
พอตื่นเช้ามาคุณอีฟและนุ้ยก็ไปทำบุญกัน และในคืนนั้น คุณอีฟก็จะขับรถมอเตอร์ไซด์ไปเซเว่น ก็เห็นผู้ชายคนนึงผมยาวขับมอเตอร์ไซด์ฮาเล่ย์มาแซวคุณอีฟและเพื่อน คุณอีฟก็ขับรถตามไป แต่ก็ตามไม่ทันและเห็นว่าผู้ชายคนนั้นขับรถแซงรถสิบล้อไปเร็วมาก แต่พอซักพักนึง ผู้ชายคนเดิมเขาก็ขับกลับมาแซงคุณอีฟอีกครั้งนึง ตอนนั้นคุณอีฟก็งง เพื่อนที่มาด้วยก็บอกว่า ไหนลองขับตามพี่เขาไปดิ พอขับไปเรื่อยๆ ก่อนถึงเซเว่น 800 เมตร จะมีทางเข้าไปในวัด พอผู้ชายคนนั้นก็เริ่มช้าลง เพื่อก็บอกคุณอีฟอีกว่า อีฟตามไปเลย รถฮาเล่ย์ก็ขับเข้าไปในซอยนั้นและหายเข้าไปเลย เพื่อนเลยบอกให้ คุณอีฟจอดและบอกว่าเขาอาจจะไปแล้วแหละ พอคุณอีฟไปซื้อของที่เซเว่นเสร็จ ก็ต้องไปยูเทรินกลับรถเพื่อนที่จะกลับหอพัก พอจะถึงจุดที่เป็นทางเข้าวัด คุณอีฟก็มองไปเห็นรถมอเตอร์ไซด์ฮาเล่ย์จอดอยู่ตรงนั้นก็จอดดู ซักพักนึง ก็เห็นเหมือนลูกมะพร้าวกลิ้งออกมา แล้วก็มีคนวิ่งตามมาเก็บซึ่งเป็นผู้ชายคนนั้น ที่ไม่มีหัววิ่งออกมาเก็บ แล้วก็เอามาแนบใส่จั๊กกะแร้ แล้วเดินหายเข้าไปในทางวัด พอคุณอีฟเห็นก็รีบขับรถกลับเลย และก็ก่อนที่เข้าหอก็ต้องเลยยูเทิร์น แล้วเลี้ยวกลับมาที่หอ ก็เจอพี่ที่ขับฮาเล่ก็ขับสวนมาแล้วก็ตะโกนว่า น้องๆ และก็ขับผ่านไปเลย จากเหตุการณ์ที่ 1 มาต่อเหตุการณ์ที่ 2 ก็เหมือนกับว่า พอคุณอีฟเริ่มเห็นผี เห็นวิญญาณครั้งแรก ก็จะทำให้สามารถเห็นครั้งต่อไปได้ง่ายขึ้น
วันแรกที่ครอบครัวของเนยเข้าไปอยู่ วันนั้นแม่ของเนย อาบน้ำเป็นคนสุดท้าย เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปบนบ้าน ตอนนั้นเนยอยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงแม่กรี๊ดลั่นบ้านและก็ล้มตึงลงไปเลย เนยกับพี่ชายก็วิ่งออกมาดู ตอนนั้นแม่เล่าไปร้องไห้ไป ก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง เนยก็ให้แม่สงบสติอารมณ์ลงก่อน พอแม่เริ่มตั่งสติได้ แม่ก็เล่าให้ฟังว่า จังหวะที่แม่เดินขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย แม่เห็นศพคนแขวนคอตาย 3 ศพที่คานบ้าน เป็นพ่อแม่ลูก แต่พ่อของเนยก็ไม่เชื่อว่าจะมี ถึงจะเชื่อว่ามีก็จะให้ทำไงได้ บ้านก็บ้านตัวเอง กู้เงินมาทำบ้านก็หลายล้าน ก็ต้องทนอยู่ต่อไป ทุกคืนตอนนอนก็ได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นในบ้าน และก็ได้ยินเสียงแม่บอกว่า อย่าวิ่ง รบกวนเขาลูก ทุกคนก็เกิดความกลัว พอ 6 โมงเย็นนี่ต้องขึ้นบ้านกันแล้ว และก็ต้องเอากระโถนเข้ามาในห้องด้วยเผื่อปวดฉี่ตอนกลางคืน
จนมีวันนึงหลังจากที่อยู่ได้เดือนกว่า เนยดันลืมเอากระโถนขึ้นมา กลางดึกคืนนั้น เนยก็ปวดฉี่ขึ้นมา เลยเรียกพี่ชาย พี่สะใภ้และแม่ไปเข้าห้องน้ำกัน ตอนที่เดินออกมาไม่มีอะไร แต่ตอนกำลังจะเดินขึ้นบัน ทั้ง 4 คนทุกคนเห็นเหมือนกันหมดเห็นพ่อแม่ลูก 3 คน ห้อยอยู่บนคานบ้านต่องแต่งๆ ทุกคนก็กรี๊ดกันวิ่งลงมากัน แต่ก็เหมือนเดิม พ่อของเนยก็ยังไม่เชื่อ ว่ามีเพราะพ่อก็ไม่เคยเจอ ตั้งแต่วันนั้นมาชั้น 2 ก็ไมีมีใครกล้าอยู่แล้ว ลงมาอยู่ชั้นล่างกันหมด แม้แต่กระทั่งตอนกลางวัน ก็ได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นอยู่ข้างบนบ้าง แม่ดุลูกบ้าง ผัวเมียทะเลาะกันบ้าง จนทุกคนในบ้านหลอนกันไปหมดแล้ว
จนมีวันนึงเนยก็ได้ฟังเรื่องที่คุณพลอยโทรมาเล่ากับทางรายการ The Shock ปกติคุณพลอยจะเป็นคนที่มีเซ้นส์ และสามารถช่วยแก้กรรมให้คนอื่นได้ เนยก็มาเล่าเรื่องนี้ให้คุณพลอยฟัง ด้วยความที่คุณพลอยมีเซ้นส์ก็พอจะรู้ว่าจะต้องให้ช่วยแบบไหน เนยก็ให้บ้านเลขที่กับคุณพลอยมา คุณพลอยก็บอกกับเนยไปว่า เขาไม่ต้องการให้ใครอยู่ชั้นบน และก็ต้องการให้สร้างศาลให้เขา เนยก็บอกว่า หนูจะสร้างศาลได้ยังไง หนูเป็นคาทอลิก คุณพลอยก็บอกว่า มันไม่เกี่ยวหรอกลูก เพื่อความสบายใจหนูสร้างไปเถอะ เนยก็ถามอีกว่า แล้วมันจะมีศาลอยู่บนบ้านคนได้หรอคะ คุณพลอยก็บอกกับเนยว่า เคยได้ยินศาลในห้องน้ำหญิงในมหาลัยแห่งนึงมั๊ย เขายังสร้างได้เลย เนยก็ถามคุณพลอยว่า พี่พลอยมาทำให้หนูได้มั๊ย คุณพลอยก็รับปากไปว่าจะไปทำให้ และก็บอกให้เนยไปหาซื้อศาลไม้ที่เหมือนกับศาลตายายไว้ แล้วเดี๋ยวคุณพลอยจะไปทำพิธีให้ คุณพลอยก็บอกอีกว่า แต่เนยต้องเปิดใจนะ หนูต้องไปนิมนต์พระมา เพราะพี่จะให้ทำให้โดยพลการไม่ได้ ไม่ว่างานพิธีใดๆก็ตาม ก็ต้องมีพระเนยก็บอกว่า เดี๋ยวไปคุยกับแม่ก่อน ส่วนพ่อเสียไปเมื่อต้นปี คงไม่มีปัญหาแน่
สุดท้าย พี่ชายของเนยก็ไปสืบทราบประวัติมา ได้ความว่า เมื่อก่อนครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีฐานะดี แล้วตอนหลังผู้ชายไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ก็เลยทะเลาะกัน ทีนี้ฝ่ายผู้หญิงก็ประชดโดยการไปมีผู้ชายคนใหม่ จนวันนึง ผัวก็ฆ่าเมียกับลูกแล้วเอาศพไปแขวนอยู่บนคานนั่น แล้วพ่อก็ผูกคอตายหนีความผิด หลังจากที่ 3 คนนี้ตาย ญาติๆที่บ้านก็อยู่กันไม่ได้ เลยต้องรื้อบ้านหลังนั้น นำไปถวายวัด พอเอามาสร้างเป็นกุฏิ พระก็อยู่ไม่ได้ ต้องรื้อกุฏิทิ้งเหมือนกัน พอดีกับที่พ่อของเนยมาขอต่อ ทั้งๆที่รู้ประวัติของไม้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่กลัว แต่จนแล้วจนรอดพอมาอยู่ด้วยกัน ก็อยู่กันไม่ได้
ทีนี้หลวงพ่อก็ใช้ไม้เท้า จิ้มไปที่ตัวน้าสาว แล้วน้าก็พูดออกมาเป็นเสียงผู้ชายว่า อย่าทำกูๆ หลวงพ่อก็ถามว่า เป็นใคร มาทำไม น้าก็ตอบว่า เขาใช้กูมา หลวงพ่อก็ถามอีกว่า แล้วมาทำแบบนี้มันบาปนะรู้มั๊ย น้าตอบว่า กูไม่รู้ กูจะเอามันให้ตาย เขาใช้กูมา หลวงพ่อก็บอกอีกว่า ออกไปเหอะ แต่น้าสาวก็ยืนยันว่า กูไม่ออก เขาใช้กูมา แล้วก็เหยียดขาออกไปข้างหน้า และใช้มือข่วนกับพื้นไม้ จนเล็บหัก เลือดไหลเต็มมือ หลวงพ่อก็พูดกับน้าสาวต่อว่า ชั้นบอกดีๆนะ ออกไปเถอะ มันบาป แต่น้าสาวก็ตอบมาแต่คำเดิมๆ กูไม่ออก เขาใช้กูมา หลวงพ่อเลยถามต่อว่า แล้วใครใช้มา น้าตอบว่า ก็คนที่มันไปเอาตังเขามานั่นแหละ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็งง ว่าน้าไปเอาตังใครเขามา เหตุการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น น้าเริ่มพูดเร็วขึ้นว่า เขาใช้กูมา กูจะเอาให้ตายๆๆ พูดอยู่อย่างนี้ แล้วน้าก็เอามือที่เลือดเต็มนิ้วข่วนหน้าตัวเอง พอญาติๆเห็นแบบนั้นก็จะวิ่งเข้าไปห้าม แต่ย่าก็บอกว่า อย่าเพิ่งเข้าไป ระหว่างนั้น หลวงพ่อก็ทำน้ำมนต์แล้วก็พรหมไปที่ตัวน้า แต่วิญญาณที่อยู่ในร่างก็ยังไม่ออก เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ทุกคนก็เริ่มเหนื่อยล้า และด้วยความเป็นแม่ของย่า ย่าก็ไปนั่งคุกเข่าขอร้องบอกว่า อย่าทำลูกเราเลย เดี๋ยวชั้นทำบุญไปให้ วิญญาณในร่างน้าสาวก็ยังยืนยันคำเดิม เขาใช้กูมาๆ ย่าก็เลยตัดสินใจก้มลงกราบและพูดว่า เดี๋ยวทำบุญใหญ่ๆ ให้เลย รวมถึงญาติๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ทุกคนก็มารวมตัวกันก้มกราบ และดูเหมือนจะได้ผล อยุ่ดีๆ น้าสาวก็หงายท้องลงไป รู้สึกตัว ร้องไห้และพูดกับย่าว่า แม่ หนู เหนื่อย ช่วยหนูด้วย หลวงพ่อก็บอกว่า สงสัยเขาไปแล้วโยม และถามต่อว่า ใครเป็นพี่คนโต พี่คนโตก็คือพ่อของ A ให้เอากระทงทั้งหมดไปวางตรงทาง 3 แพร่ง หน้าหมู่บ้านแล้วเดินกลับมาไม่ต้องหันกลับไปมอง พอวางกระทงปุ๊ป หมาที่อยู่แถวนั้นก็หอนกันระงมเลย หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ทำสายสินญ์ล้อมบ้านไว้ แล้วบอกกับน้าสาวว่า ให้อยู่ในบ้าน 7 วัน 7 คืน ห้ามออกไปไหน ใน 7 วันนั้น น้าสาวก็ไม่กล้าออกไปไหนเลย นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในบ้าน
ผ่านไป 7 วัน น้าก็ออกจากบ้านกลับไปทำงานที่กรุงเทพ กลับไปทำงานได้ซักอาทิตย์นึง แฟนน้าก็โทรกลับมาหาย่า บอกว่า น้าเสียแล้วนะ ย่าก็ถามว่า เสียได้ยังไง แฟนน้าก็เล่าว่า ผมขับมอเตอร์ไซด์ไปทำงานกับน้า ซึ่งทางแยกนี้ผมเห็นทุกวัน ผ่านทุกวัน แต่ว่า วันนี้กลับมองไม่เห็นแยก แล้วก็มีรถยนต์พุ่งมาชนทำให้น้าสาวตายคาที่ ส่วนแฟนน้า ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน และสุดท้าย สืบไปสือมา ก็มารู้ว่า ตัวของน้าสาวทำงานในโรงงาน แล้วน้าไปแย่งลูกค้าอีกร้านนึงที่เคยทำงานด้วย ด้วยการตัดราคาทุกอย่าง จนทำให้เจ้าของร้านเก่าโมโหและแค้น จึงทำคุณไสยมาเล่นงานน้าสาว
หลังจากวันนั้นมา ประมาณ 1 สัปดาห์ คุณเบนก็ได้เจอกับเธอคนนั้นอีกครั้ง ในขณะขึ้นลิฟท์คุณเบนก็แอบมองเธอ จนเธอลงที่ชั้น 8 ทุกครั้งที่ได้เจอ คุณเบนก็จะแบบมองเธออยู่เสมอๆ บางครั้งถ้าเกิดอยู่ในลิฟทืกับเธอเพียง 2 คน คุณเบนก็คิดว่าอยากที่จะคุยกับเธอ แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่แอบมองอย่างเดียว จนกระทั่งวันนึง ได้มีโอกาสได้ขึ้นลิฟท์ด้วยกัน 2 คน ช่วงลิฟท์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นนั้น คุณเบนก็รวบรวมความกล้า แล้วพูดออกไปว่า ชื่ออะไรครับ เธอไม่ตอบ แต่คุณเบนแอบสังเกตเห็นว่าเธอแอบยิ้มน้อยๆก่อนออกจากลิฟท์ไป หลังจากนั้นมาทุกครั้งที่เจอกัน คุณเบนก็จะมองและยิ้มให้เธอเสมอ ถ้าเวลาที่อยู่ในลิฟท์กัน 2 คน เธอก็จะมองและยิ้มให้ เวลาเบนมองเธอ แต่ในทางกลับกัน เวลาอยู่ในลิฟท์กันหลายคน ถ้าเธอหันมาเห็นว่าคุณเบนมองเธออยู่ เธอก็จะขมวดคิ้วและทำปากขมุบขมิบเวลาคุณเบนยิ้มให้
และมีอยู่วันนึง ก่อนจะออกจากลิฟท์ที่อยู่ด้วยกัน 2 คน เธอก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ว่า ชื่อ แพร แล้วก็เดินออกจากลิฟท์ไป คุณเบนและแพรมักจะคุยกันแบบถามวันตอบวันกันอยู่ระยะนึง สรุปได้ว่า แพร เธออาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว ทำงานเกี่ยวกับบัญชีอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง มิน่าหละ เวลาที่คุณเบนเจอเธอจะอยู่ในชุดทำงานเสมอๆ ส่วนช่วงเวลานั้นก็จะเจอกัน 2-3 ทุ่ม จนกระทั่งวันนึง แพร ไม่ลงลิฟท์ที่ชั้น 8 แต่ว่าขึ้นมาคุยกับคุณเบนที่หน้าลิฟท์ชั้น 10 เอาตรงๆก็คือทั้ง 2 คนนั้นก็จีบกันนั่นเอง เมื่อคุณเบนมั่นใจว่าชอบเธอจริงๆ คุณเบนก็ถามแพรว่า เป็นแฟนกันได้มั๊ย แพรก็นิ่งไปพักใหญ่ แล้วถามคุณเบนกลับว่า แน่ใจนะ หลังจากนั้นก็ลงกลับห้องไป ทั้งคู่คุยกันแบบนี้อยู่ 4-5 เดือน โดยที่ไม่เคยไปที่ห้องของฝ่ายใดเลย คุณเบนสังเกตว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันหลายคนในลิฟท์ แพรจะทำเหมือนไม่รู้จักคุณเบน คุณเบนก็เข้าใจว่า เธออาจจะอายคนอื่น เนื่องจาก คนอื่นๆก็จะแต่งตัวเหมือนคนทำงานทั่วไป แต่ว่าคุณเบนจะสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และถึอหมวกกันน็อค แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยที่จะออกกไปไหนด้วยกัน ตลอดเวลาที่เป็นแฟนกัน ก็มีเพียงแค่ยืนคุยกันตรงระเบียงหน้าลิฟท์ชั้น 10 เท่านั้นเอง
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งวันนึง คุณเบนเลิกงานกลับมาที่คอนโด ก็เห็นแพรรอขึ้นลิฟท์อยู่ด้วย แต่ว่าขึ้นกันหลายคน คุณเบนก็คิดว่าแพรคงเมินๆคุณเบน แต่พอถึงชั้น 10 คุณเบนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของ ก็เลยไม่ได้ออกจากลิฟท์และกดลงไปชั้นล่างใหม่ พอซื้อเสร็จกำลังจะขึ้น ก็เจอแพรอีก คุณเบนก็นึกว่า ลงมาซื้อะไรเหมือนกันหรือเปล่า เดี๋ยวต้องอำซะหน่อย ตอนนั้นคุณเบนจำได้ว่า มีคนรอขึ้นอยู่ 2-3 คน ก็เลยพยายามไปยืนใกล้ๆ กับแพร พอลิฟทืจอดที่ชั้น 7 กำลังจะขึ้นชั้น 8 คุณเบนก็กระซิบเบาๆกับแพรว่า ลงมาอีกรอบ คิดถึงผมหรอ พอลิฟท์ถึงชั้น 8 ก่อนลิฟท์จะเปิด คุณเบนก็กระซิบอีกครั้งว่า ฝันดีครับ แพร เธอก็หันขวับมาจ้องหน้าคุณเบนทันที และก็คว้าข้อมือของเบนลากออกมาจากลิฟท์ พาไปที่ห้องของเธอ แล้วเธอก็เปิดประตูเข้าไป ก็เจอแม่ของเธอ และพาคุณเบนเข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้วก็ร้องไห้ โฮ ออกมา คุณเบนก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ของเธอก็ตกใจ จ้องมาที่คุณเบนตาเขม็ง และถามเธอคนนั้นว่า เป็นอะไรลูก เขาทำอะไรลูกหรือเปล่า และก็มองมาที่คุณเบนที่กำลังยืนงงอยู่ จนกระทั่งเธอพูดกับแม่ว่า เขาเรียก พลอย ว่า แพร ค่ะแม่ คุณเบนได้ฟังก็ยังงงกับคำพูดของเธอ และอยู่ดีๆ แม่เธอก็น้ำตาไหล ร้องไห้กอดลูกสาว ทั้งคู่ก็พากันร้องไห้ คุณเบนก็คิดว่าควรที่จะต้องออกไปก่อนดีกว่าตอนที่กำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แม่ของเธอก็พูดขึ้นมาว่า อย่าเพิ่งไป คุยกันก่อน คุณเบนก็ยืนอยู่ที่เดิม
เวลาก็ผ่านไปซักครู่ เธอคนนั้นก็หยุดร้อง และหยิบกรอปรูปอันนึง ส่งให้คุณเบนดู คุณเบนก็เห็นเป็นรูปผู้หญิง 2 คนเหมือนเป็นฝาแฝดกัน คุณเบนก็นึกขึ้นมาได้ว่า แพรเคยบอกกับคุณเบนว่า แพรมีน้องสาว แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นฝาแฝดกันและเธอก็ถามคุณเบนว่า รู้จักแพรได้ยังไง คุณเบนก็เลยเล่าเรื่องราวทั้งหมด ให้แม่และเธอฟัง ตอนนั้นคุณเบนก็ยังงงว่า แพรเป็นอะไร วันนี้ดูแปลกๆ แม่จึงบอกกับเธอว่า พลอยเล่าให้เขาฟังสิ แล้วพลอยก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณเบนฟังว่า เธอมีพี่สาวฝาแฝดชื่อ แพร ทั้ง 2 คนทำงานที่บริษัทเดียวกัน และอาศัยอยู่ด้วยกัน 2 คน แต่ไม่ใช่ที่นี่ เธอทำงานที่เดียวกัน กินกลางวัน กลับบ้านด้วยกัน เหมือนเป็นฝาแฝดที่ตัวติดกันทั่วๆไป จนวันนึง ขณะที่กำลังจะเดินทางไปกินข้าวเที่ยง ก็มีมอเตอร์ไซด์คันนึงพุ่งเข้าชนแพรตอนข้ามถนน ศีรษะฟาดกับพื้น แพรโคม่าอยู่ 3 วันและก็เสียชีวิตลง หลังจากงานศพของแพรผ่านไป พลอยก็เหงาก็ทำใจไม่ได้ ที่จะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่เคยอยู่กับแพร จึงย้ายที่พักและรับแม่มาอยู่เป็นเพื่อน และพลอยยืนยันว่า ที่นี่ยังไงก็ไม่มีใครรู้จักกับแพร พลอยจึงตกใจมากที่คุณเบนเรียกพลอยว่าแพรตอนที่อยู่ในลิฟท์ ทั้ง 3 คนก็นั่งคุยกันอยู่พักนึง คุณเบนก็ขอรูปนั้นจากพลอย พอก้าวออกจากห้องพลอย ก็แทบจะไม่มีแรงที่จะก้าวขา ตอนนั้นคุณเบนยอมรับเลยว่าหลงรักแพรมาก แม้จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหากจะต้องเจอกับแพรอีก
หลังจากนั้นมา คุณเบนก็ไม่ได้เคยขึ้นลิฟท์โดยลำพังกับพลอยเลย แต่ก็จะเจอกับพลอยในลิฟท์ตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย คุณเบนก็จะทำปากเรียกชื่อโดยไม่ออกเสียงว่า แพร แต่เธอก็จะส่ายหน้า และตอบกลับมาว่า พลอย เพื่อที่จะบอกกับคุณเบน ว่านี่พลอย ไม่ใช่แพร ตั้งแต่นั้นมา คุณเบนก็ไม่เคยเจอกับแพรอีกเลย
จนตอนเช้า เพื่อนๆที่อยู่ที่สุพรรณ ก็มาหาคุณแชมป์ และถามว่า ได้ข่าวว่าซื้อที่ที่นี่หรอ จะไปด้วยกันมั๊ย ปั่นจักรยานไปด้วยกันก่อนก็ได้ ก็ปั่นจักรยานไปจนถึงที่ที่แม่ซื้อไว้ ที่ที่ซื้อเป็นนาทั้งหมด 4 แปลง ด้านหลังก็จะมีบ้านของลุงอีกคนที่รู้จักกัน ข้างๆก็จะเป็นวัด คุณแชมป์ก็คุยเล่นกับเพื่อนว่า ซื้อที่ติดวัดเลยหรอ กลางคืนไม่เจอผีกันหรอวะเนี่ย เพื่อนก็บอกว่า อย่าพูดดิ แล้วคุณแชมป์ก็ไปเล่นกับพวกเพื่อนๆตามประสาเด็กๆ คุณแชมป์ก็รู้จักกับลุงที่อยู่ข้างหลังบ้านคุณแชมป์ เลยบอกกับลุงวา ลุงผมขอไปตกปลา แถวๆบ่อข้างๆบ้านลุงได้มั๊ย ลุงก็บอกว่าได้ คุณแชมป์ก็ไปตกปลา ตกปลากันจนถึงบ่าย 3 เพื่อนๆก็มารวมกลุ่มนั่งคุยกัน คุณแชมป์ก็นั่งตกปลาหันหลังให้เพื่อนอยู่กับเพื่อนคนนึงชื่อว่า โม่ ตอนนั้นคุณแชมป์ก็รู้สึกแปลกๆ เลยคุยกับโม่ว่า โม่ นับเพื่อนดิมีกี่คน โมก็บอกว่า ทั้งหมด 8 คน ก็มา 8 คนหนิ คุณแชมป์ก็หันไปดู ก็เห็นเป็น 8 คน โม่ก็ถามว่า แล้วเป็นอะไร ทำไม รู้สึกอะไร คุณแชมป์ก็บอกกับโม่ว่า เหมือนมีคนจอ้งมองอยู่ โม่ก็ถามว่า จ้องมองจากทางไหน คุณแชมป์ตอบว่า จากบนหัวเราเนี่ย โม่ตอบว่า เห้ย จะบ้าหรอ ใครจะไปนั่งบนต้นไม้ พอคุณแชมป์หันไปดู ก็ไม่มีใครนั่งอยู่ แต่ความรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองอยู่จากที่สูงลงมาจริงๆ แต่ก็คิดว่าตัวเองคิดมากไปมั๊ง พอเริ่มเย็นก็เดินกลับกันมามากับโม่ โม่ก็ถามว่า คืนนี้ให้กุนอนเป็นเพื่อนมั๊ย จะได้ไม่กลัว เพราะโม่นั้นเป็นเด็กวัดก็ไม่กลัวผีอยู่แล้ว คุณแชมป์ก็บอกว่าไม่เป็นไรนอนได้ ไม่เป็นไรหรอก
พอตกกลางคืนคืนนั้น ทุกคนก็ในบ้านก็จะมาอยู่ที่บ้านหลังที่แม่เพิ่งซื้อมา ตอนกลางคืนก็มีนั่งสังสรรค์ กินเหล้ากันอยู่หน้าบ้าน คุณแชมป์ก็กำลังกางเต๊นท์อยู่ อยู่ดีๆ ลุงเขยก็เดินมาถามว่า แชมป์คืนนี้จะนอนเต๊นท์จริงๆหรอลูก คุณแชมป์ก็ตอบไปว่า ครับ ข้างในคนเยอะ มันอึดอัด ผมเลยอยากนอนข้างนอก และผมชอบฟีลบรรยากาศข้างนอกด้วยครับ ลุงก็ถามอีกว่า จะดีหรอ นอนข้างในดีกว่ามั๊ย ตอนนั้นคุณแชมป์ก็งง ว่าทำไมต้องถามถึง 2 รอบ ทำไมต้องถามย้ำ คุณแชมป์ก็เลยตอบไปว่า ไม่เป็นไรครับ นอนได้ๆ แล้วก่อนที่ลุงแกจะเข้าบ้าน แกก็ถอดพระจากคอเอามาให้คุณแชมป์ แล้วพูดว่า อ่ะ เอาใส่ไว้คอไว้นะลูก ถ้าเกิดเจออะไร ก็มีสตินะ คุณแชมป์ก็ตอบไปว่า ครับๆ แต่ในใจก็งงๆ อะไรวะ จะมีขโมยหรือผี หรือยังไง
คืนนั้นคุณแชมป์ก็เข้าไปในเต๊นท์นอนตามปกติ นอนเล่นอยู่ซักพัก คนอื่นที่นั่งกินเหล้าอยู่ข้างนอกก็เข้าบ้านกันไปหมดละ คุณแชมป์ก็นอนไป แต่นอนไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตื่นมา มองดูนาฬิกาเวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง แต่ข้างนอกดูเหมือนเวลาตี 1 ตี 2 เลย แต่ก็บอกกับตัวเองว่าคงคิดมากไปมั๊ง เลยพลิกตัวนอนไป แต่ก็นอนไปได้แปปเดียวก็ได้ยินเสียงหมาหอนค่อยๆ ดังขึ้นๆ เสียงหมาหอนดังจากในวัด ดังไล่ๆๆๆมาจนมาถึงหลังบ้านของลุงที่คุณแชมป์ไปตกปลา พอทิ้งช่วงเสียงหมาหอน ก็มีลมพัดมา และมีเสียงดังมาจากที่ไกลๆมาพร้อมกับลมเป็นเสียง วี๊ดๆๆๆๆ เหมือนเสียงนกหวีด คุณแชมป์ก็สงสัย เลยเปิดเต้นออกมาดู ก็มองหาต้นตอของเสียงว่ามาจากไหน มองไปทางวัดก็ไม่มี ก็กวาดสายตาไปทั่ว จนมองไปที่บ้านลุงข้างบ้าน คุณแชมป์ก็จำได้ว่าบ้านของลุงมีต้นมะม่วงอยู่ 2 ต้น แต่ตอนนั้นเห็นเป็น 3 ต้น คุณแชมป์ก็คิดว่า เห้ย ตอนเช้าเห็น 2 นี่หว่า มันมาจากไหนอีกต้นวะ คุณแชมป์ก็พยายามมอง ซักพัก เห็นเป็นมือขนาดใหญ่ กำลังขยับพอคุณแชมป์เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งไปหลบในบ้านก่อน และพูดว่า ใช่ป่าววะๆ ตาฝาดรึเปล่าวะ พยายามขยี้ตาแล้วลองไปล้างหน้าดู แล้วออกมาดูใหม่ ว่าใช่หรือเปล่า ทีนี้พอคุณแชมป์ออกไปดู เงานั้นก็ไม่อยู่แล้ว กวาดสายตามองไปทั่วๆ ก็ไม่เจอ แต่ก็รู้สึกว่านอนเต๊นท์ก็คงไม่ดีละ แต่นอนในบ้านก็อึดอัด เลยคิดขึ้นมาได้ว่ามีต้นไม้อยู่นี่ เลยตัดสินใจไปนอนที่บ้านต้นไม้ ข้างบนก็มีเสื่อนอน มีหมอนไว้ คุณแชมป์ก็เอาบันไดมาพาดแล้วปีนขึ้นไป ข้างบนจะมีตะเกียง จุดไฟติดไว้ พอจังหวะที่คุณแชมป์กำลังจะดับตะเกียง เสียงที่มาตามลม ก็มาอีกรอบนึง แต่คราวนี้เสียงเหมือนอยู่ใกล้มาก และก็มีความรู้สึกอีกว่าเหมือนมีคนมองอยู่ทางด้านขวา แล้วด้านขวาของคุณแชมป์จะเป็นหน้าต่าง คุณแชมป์ก็หันไปมองทางด้านขวา ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาเดิม เงาใหญ่ๆ สูงๆเหมือนเดิม ใกล้ขึ้น ชัดขึ้น และที่สำคัญคือเขาก้มลงมามองคุณแชมป์ เอามือจับตัวบ้านต้นไม้ คุณแชมป์ก็มองไปแต่ไม่เห็นหน้า แต่เห็นเป็นลูกตาสีแดงกล่ำ เท่านั้นแหละ คุณแชมป์ก็สลบเลย
ตื่นเช้ามา ลุงก็มาปลุกคุณแชมป์ จับไปที่ตัวร้อนจี๋ ไข้ขึ้นสูง เลยพาคุณแชมป์ไปวัดและรดน้ำมนต์ ก็ให้คุณแชมป์นอนพักซักประมาณชั่วโมงนึง ก็ได้สติฟื้นขึ้นมา คุณแชมป์ก็เล่าให้ลุงฟังว่าเจอแบบนี้ๆ ลุงก็บอกว่า อืม ก็ไม่น่าห้าวไงแล้วคุณแชมป์ก็ถามลงว่า ที่ผมเจอมันคืออไร ลุงบอกว่า สิ่งที่เราเจอคือ เปรต ตอนวันมาลุงขับรถมา ลุงอ่ะเห็นแล้ว ลุงถึงไม่เลี้ยวเข้ามาในบ้านไง และขับรถเร็วขึ้น ลุงก็เล่าให้ฟังต่อว่า ก่อนหน้านี้มีเด็กวัยรุ่นคนนึง นิสัยเขาไม่ค่อยดี เอาแต่ใจ ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะตีแม่เขา จะด่าแม่เขา มีวันนึงเขาก็ขับรถไปกับเพื่อนและรถพลิกคว่ำจนเสียชีวิต เขาจึงมาเป็นเปรตจนถึงทุกวันนี้ คืนต่อมาคุณแชมป์ก็เข้าไปนอนในบ้าน ไม่เห็นตัว ได้ยินแค่เสียง
หลังจากที่ลุงชิตเข้าไปอยู่บ้านแฟนใหม่ได้ประมาณ 1 เดือน ก็มีอยู่วันนึง ช่วงหัวค่ำ แฟนใหม่ของลุงชิตก็ขับรถมาหาลุงไก่และลุงหมี และบอกว่า พี่ๆมาช่วยหน่อย พี่ชิตโดนผีเข้า พอลุงทั้ง 2 คนได้ยินก็รีบไปที่บ้านของผู้หญิงพอไปถึงบ้าน ที่บ้านก็จะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ลุงไก่และลุงหมีก็เดินขึ้นไปบนบ้าน ก็เห็นชาวบ้านขึ้นมาอยู่บนบ้านกันประมาณกัน 20 กว่าคน และเห็นลุงชิตนั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จากับใคร ลุงไก่ก็เรียกลุงชิต แต่ว่าลุงชิตก็ไม่ตอบอะไรกลับมาลุงไก่ก็เลยเดินไปที่ลุงชิตและเขย่าตัวลุงชิต แต่ก็ไม่มีเสียงตอบเหมือนเดิม ลุงไก่ถามแฟนลุงชิตว่าเกิดอะไรขึ้น แฟนลุงชิตก็ตอบว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่งคุยกันอยู่ดีๆ พี่ชิตก็หงายท้องลงไป พอลุกขึ้นมาตาก็ขวาง และตาเหลือกขึ้นไปจนเหลือแค่ตาขาว หนูก็ทำอะไรไม่ถูก พี่ชิตก็เอาแต่นั่งมองหน้าอยู่อย่างนั้น ก็เลยไปตามชาวบ้านมา
ชาวบ้านก็ให้คนไปรับหมอผีที่อยู่ระแวกนั้นมา ซักพักรถกระบะที่ไปรับหมอผีก็มาจอดที่หน้าบ้าน พอมาถึงหมอผีก็เดินเข้าไปในบ้าน ไปที่ลุงชิต ลุงชิตก็เงยหน้าขึ้นมา มองหน้าหมอผีและก็ยิ้ม ทางด้านหมอผีก็จัดแจงทำพิธี หมอผีก็เริ่มสวดมนต์ แต่ระหว่างที่หมอผีสวดมนต์ ลุงชิตแกก็นั่งหัวเราะ เยาะเย้ย อยู่ตลอดเวลา จนหมอผีทำพิธีเสร็จ ก็กำข้าวสารเสกแล้วปาใส่ไปที่ลุงชิต แต่ว่าลุงชิตแกก็หัวเราะหนักเข้าไปอีก หมอผีก็ปาไป 3-4 ที แต่ก็ยังไม่หายเหมือนเดิม จนหมอผีเริ่มโมโห เลยหยิบหวายเสกขึ้นมา และทำการเป่าหวาย กะว่าจะฟาดใส่ลุงชิต แต่จังหวะที่หมอผีกำลังจะฟาด ลุงชิตก็ดีดตัวขึ้นมายืน เอามือคว้าหวายของหมอผี ผลักหมอผีออกและก็ถีบยอดอกของหมอผีอีกด้วย แล้วลุงชิตก็พูดขึ้นมาเป็นเสียงคนแก่ว่า ไอดวง แค่ดูดวง ดูฤกษ์ ดูยามได้นิดหน่อย ทำมาเป็นตั้งตัวเองเป็นหมอผีหรอ ทำอะไรกูไม่ได้หรอก แล้วก็ปาหวายใส่หมอผีไปอีกด้วย ด้านหมอผีก็เริ่มลนลาน รวมถึงเสียหน้าด้วย ก็เลยเดินออกจากบ้านไปเลย
จนคราวนี้ก็ไปนิมนต์พระรูปนึง ที่มีชื่อเสียง เรื่องเวทมนต์ คุณไสยมา ระหว่างที่รอลุงชิตแกก็นั่งนิ่งๆอยู่ตรงกลางบ้านไม่พูดไม่จากับใคร จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง พระก็มาถึง พระอายุประมาณ 40 กว่า พอพระเดินขึ้นบ้านมา ลุงชิตก็เงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็หัวเราะใส่เหมือนเดิม พระก็ถามชาวบ้านว่าเป็นอะไรยังไง พอชาวบ้านเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังเสร็จ หลวงพ่อก็ให้ชาวบ้านเอาขันใส่น้ำสะอาดมาวางไว้ที่หน้าบ้านลุงชิต หลังจากนั้นหลวงพ่อก็จุดเทียน 9 เล่ม หยดเทียนลงบนน้ำมนต์ทำบริกรรมคาถาของหลวงพ่อไป ระหว่างนี้ลุงชิตก็ไม่กลัว หัวเราะใส่ เหมือนกับท้าทายหลวงพ่อ พอหลวงพ่อทำพิธีเสร็จ ก็เอาก้านมะยมจุ่มน้ำมนต์ แล้วก็พรหมใส่ที่ตัวลุงชิต แต่ก็เหมือนเดิม ไม่ได้ผลอะไร ลุงชิตก็หัวเราะอีก และพูดว่า หลวงพี่บวชอยู่กับวัดดีแล้ว อย่ามายุ่งเรื่องทางโลกเลย เวทมนต์คาถาของหลวงพี่ ทำอะไรผมไม่ได้หรอก พอหลวงพ่อได้ยินก็หน้าถอดสี แล้วก็ลุกขึ้นบอกกับชาวบ้านว่า ผีตนนี้มันค่อนข้างจะแรง หลวงพ่อเอาไม่อยู่หรอก และหลวงพ่อก็กลับไป
พอหลวงพ่อกลับไป ชาวบ้านก็เลยลองถามว่า เป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร ก็พยายามถามกันอยู่ซักพัก ตอนนั้นก็เริ่มจะมืดแล้ว ลุงชิตก็ตอบมาว่า พวกจำกูกันไม่ได้หรอ ชาวบ้านก็ถามว่าเป็นใคร ลุงชิตก็ตอบมาว่า กู ไอผิน ผัวเก่าอีเนี่ย ที่มันได้กับไอผู้ชายคนนี้ ชาวบ้านก็ตกใจถามว่า เป็นแกจริงหรอ แล้วต้องการอะไร ลุงผินที่อยู่ในร่างลุงชิตก็ตอบมาว่า กูไม่ต้องการอะไรหรอก กูแค่จะเอาไอผู้ชายคนนี้ไปอยู่ด้วย แค่นั้นแหละ ชาวบ้านก็บอกว่าอย่าเอาไปเลย มันบาปอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ ลุงผินก็ยืนยันคำเดิมว่า กูไม่ยอมหรอก กูตายไปไม่ถึงปี มันก็ได้ผัวใหม่แล้ว แถมยังพามาอยู่ในบ้านกูอีก ยังไงกูก็ไม่ยอม ทางด้านลุงไก่และลุงหมีก็ถามชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นว่า ลุงผินแกเป็นใคร ชาวบ้านก็บอกว่า แกเป็นผัวเก่าของแฟนใหม่ของเพื่อนเองนี่แหละ ก่อนหน้าแกตายแกเป็นหมอผีที่เก่งคนนึงเลย และด้วยที่อายุแกเยอะแล้วมีเมียที่อ่อนกว่าหลายปี พอแกเสียไป แต่เมียแกยังเด็กอยู่ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ชายมาติด
ลุงไก่ก็เลยถามลุงหมีว่า จะเอาไงดีวะ ลุงหมีก็หันหน้าไปมองที่ลุงชิตและเดินแหวกชาวบ้านเข้าไปหา ไปยืนต่อหน้าลุงชิต แล้วพูดว่า ไอชิต แกล้งทำเป็นผีเข้าใช่มั๊ยเนี่ย นี่ขอเงินเมียไม่ได้แล้วแกล้งทำเป็นผีเข้าใช่มั๊ย ลุงชิตแกก็เงยหน้ามองแบบไม่สบอารมณ์และพูดว่า กูไม่ใช่เพื่อน กูจะเอาเพื่อนไปอยู่ด้วย ลุงหมีก็พูดกลับไปว่า ถ้าไม่ใช่เพื่อนกู เห็นเขาบอกว่าเป็นหมอผีเก่าไม่ใช่หรอ ลุงชิตก็ตอบมาว่าใช่ แต่ลุงหมีแกบอกว่า กูไม่เชื่อหรอกว่าเป็นหมอผีเก่า ถ้าเป็นหมอผีจริง ทำอะไรได้บ้าง เสกน้ำมนต์ได้มั๊ย ขันน้ำมนต์ตั้งอยู่ตรงหน้าเนี่ย เสกได้มั๊ย เสกไล่เสนียด ไล่ผีได้มั๊ย พอลุงหมีพูดจบ ลุงชิตก็หัวเราะและพูดว่า เรื่องเสกน้ำมนต์กูเนี่ยเก่งที่สุดแล้ว กูสามารถเสกให้น้ำในขันหมุนวนในขันยังได้เลย ลุงหมีก็บอกว่า กูไม่เชื่อ แน่จริงเสกให้กุดูหน่อยดิ แล้วลุงหมีก็เอาเท้าเขี่ยขันน้ำมนต์ไปหาลุงชิตและยืนกอดอกมอง ลุงชิตก็มองไปที่ขันน้ำมนต์ ทำปากขมุบขมิบ เหมือนทำพิธีอะไรซักอย่าง ตอนนั้นลุงไก่ก็สังเกตุดูในขัน ก็เห็นน้ำในขันวนๆ เหมือนมีคนเอานิ้วไปวนในขึ้น จนผ่านไป 3-4 นาที เสร็จแล้วลุงชิตก็บอกว่า นั่นหนะ เห็นรึยังว่ากูทำได้ พอลุงชิตพูดจบ ลุงหมีก็หยิบขันน้ำมนต์สาดใส่ลุงชิตเลย ทีนี้ลุงชิตร้องลั่นประมาณว่าเหมือนมีคนเอาน้ำร้อนไปสาดใส่แก แล้วก็หงายท้องลงไป
ชาวบ้านก็รีบพาตัวไปที่วัดไปหาหลวงพ่ออีกรูปนึง ที่เป็นเกจิชื่อดังอยู่แถวนั้น และบอกให้ลุงหมีและลุงไก่ไปด้วย พอไปถึงวัดก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง พอเล่าเสร็จหลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วก็บอกว่าให้พาลุงชิตเข้าไปในโบสถ์และบอกกับลุงหมีว่า วันนี้เองก็ยังไม่ต้องกลับ ให้อยู่ในโบสถ์กับมันนี่แหละ ถ้าเองออกไปเองตาย เพราะเองไปหลอกมันไว้ มันเอาเองแน่ แล้วหลวงพ่อก็เสกด้ายสายสินญ์และผู้ข้อไม้ข้อมือให้ และก็พรุ่งนี้เช้าก็มาทำบุญถวายสังฆทานซะและเดี๋ยวจะปัดเสนียดให้ และก็ย้ำกับลุงหมีอีกว่า ถ้าเองอยากใหเพื่อนเองมีชีวิตอยู่ต่อ ก็บอกเพื่อนเองให้เลิกกับผู้หญิงคนนี้ซะ ถ้าเกิดยังคบอยู่ ไอผินมันเอาเพื่อนเองตายแน่ พอตอนเช้า ลุงชิตก็รู้สึกตึวขึ้นมา ลุงหมีและลุงไก่ก็พากันไปทำบุญ และลุงหมีก็พูดกับลุงชิตตามที่หลวงพ่อบอก ลุงชิตก็ตัดสินใจเลิกกับผู้หญิงคนนั้นทันที กลับไปทำงานเป็นปกติ และก็เลิกเจ้าชู้ไปเลย
ผ่านไปซักพัก จุ๋มก็มองไปที่อุ๊ และก็มองสูงขึ้นเรื่อยๆ และสายตาของจุ๋มก็ไปหยุดอยู่ที่ตรงคานบ้าน ของห้องที่อยู่ตรงหน้า จุ๋มก็พยายามมองเม่งไปตรงคานบ้าน ซักพัก จุ๋มก็ตกใจกระโดดใส่ตัวคุณแคร์ จนคุณแคร์หงายหลังล้มลงไปเลย และดึงเสื้อกันหนาวมาคลุมหัว ตัวของจุ๋มสั่นมากเหมือนคนจะช็อค คุณแคร์ก็ค่อยๆลูบหัวลูบหลัง และถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่จุ๋มก็ส่ายหัวไม่ยอมตอบ คุณแคร์ก็เลยบอกจุ๋มไปว่า งั้นแกนอนก่อนดีกว่า แล้วคุณแคร์ก็คุยกับอุ๊ อุ๊ก็บอกว่า จุ๋มมันไม่ไหวแล้วหวะ ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ผ่านไปซักพัก อุ๊ก็หลับไป โดยที่นั่งเก้าอี้และฟุบลงไปบนโต๊ะ ส่วนจุ๋มนั้นก็นอนขดตัวเอาเสื้อคลุมหัว แล้วอยู่ดีๆ อุ๊ ก็พูดออกเสียงสั่นๆทั้งที่ยังหลับอยู่ว่า "พ่อ หนูขอโทษ" "พ่อ หนูเจ็บ" เหมือนกับคนนอนละเมอ แล้วจุ๋มก็ดึงเสื้อออกและลุกขึ้นมา มองไปทางอุ๊ และกรี๊ดสุดเสียง จนคนอื่นๆ รวมถึงพี่น้ำวิ่งออกมาถามว่าเป็นอะไร จุ๋มก็ตอบกลับด้วยเสียงสั่นว่า ไม่เอาๆ จะกลับบ้าน จุ๋มก็เลยขอให้คุณแคร์ไปส่งที่บ้านหน่อย คุณแคร์ก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปส่งจุ๋มที่บ้าน
พอถึงบ้าน พ่อแม่ของจุ๋มก็ลงมารับ แล้วก็ถามจุ๋มว่าเป็นอะไร จุ๋มก็เล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกตอนที่นอนเอาหน้าแนบกับร่องพื้นกระดานมองไปที่ใต้ถุนบ้าน ก็เห็นผู้หญิงคนนึง ใส่ชุดนางรำเต็มตัว เดินมาตรงลานใต้ถุน และค่อยๆเริ่มรำ การรำของนางรำคนนี้จะเป็นการรำที่จะเอนตัวไปข้างหลัง แอ่นตัวไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับท่าสะพานโค้ง ตอนนั้นจุ๋มก็คิดว่า ใครมาซ้อมรำอะไรตอนนี้ และคิดว่าเป็นเด็กโรงเรียนเราหรือเปล่า ระหว่างที่จุ๋มกำลังคิดอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็รำแอ่นตัวไปเรื่อยๆ จนหัวเกือบแตะพื้น และมองมาที่จุ๋ม จุ๋มก็คิดว่าหรือว่าเขาจะรู้ว่าเราแอบมองอยู่ ทันทีที่คิด หน้าของผู้หญิงคนที่รำอยู่ ก็พุ่งมาใส่หน้าของจุ๋ม ตรงร่องพื้นไม้เลย จุ๋มก็เลยหงะลุกขึ้นมานั่ง ตอนนั้นจุ๋มพูดไม่ออก และไม่อยากทำให้คนอื่นกลัวด้วยเลยไม่ได้บอกว่าเกิดเหตุการณ์อะไร
ครั้งที่ 2 ตอนที่ จุ๋มมองสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนั้นจุ๋มเห็นเป็นเชือกพาดอยู่บนคาน แล้วเชือกมันก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนเห็นเป็นปมเชือก และก็เห็นเป็นหัวของผู้หญิงที่รำอยู่ใต้ถุนนั้นถูกผูกเชือกแขวนคออยู่บนคานและมองลงมาที่จุ๋ม จุ๋มก็เลยหันหน้ามาซุกที่หลังของคุณแคร์ และจุ๋มก็คิดว่าตัวเองทนไหว พยายามที่จะไม่มอง เพื่อรอเวลาแต่งหน้า แล้วนอนเอาเสื้อกันหนาวปิดหน้าไป
และครั้งที่ 3 ตอนที่อุ๊เหมือนกับละเมอพูดออกมาว่า พ่อ หนูขอโทษ จุ๋มมองไปที่อุ๊ เห็นนางรำคนนั้นเอามือกุมหัวของอุ๊อยู่ และเอาแก้มชนแก้ม และพูดผ่านปากอุ๊ออกมา พอคุณแคร์ฟังเรื่องที่จุ๋มเล่าให้ฟัง ก็รู้สึกว่าไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นแล้ว แต่ว่ายังไงก็ต้องกลับไปเพื่อที่จะต้องแต่งตัวอยู่ดี พอคุณแคร์ไปถึงบ้านพี่น้ำ ทุกคนก็มารุมถามว่า จุ๋มเป็นอะไร คุณแคร์ก็เล่าให้ทุกคนฟัง และพอพี่น้ำที่เป็นเจ้าของบ้านได้ยิน อยู่ดีๆ แกก็ร้องไห้และทรุดตัวลงตรงนั้นเลย และบอกว่านางรำคนนั้นเป็นเพื่อนของเขาเอง ชื่ออ้น เป็นสาวประเภท 2 เหมือนกัน อ้นผูกคอตายที่บ้านหลังนี้ เมื่อ 2-3 ปีก่อน เหตุผลที่ผูกคอตายก็คือ พ่อของอ้นนั้นเป็นทหาร และไม่ชอบให้ลูกมารำ มาเป็นช่างแต่งหน้า จนทะเลาะกันหลายครั้ง อ้นก็เลยย้ายมาอยู่กับพี่น้ำ แต่ว่าพ่อก็ตามมาหาที่บ้านหลังนี้และทะเลาะกันอีกเหมือนเดิม จนสุดท้าย อ้นก็คิดสั้นผูกคอตายที่บ้านหลังนี้
ซึ่งตอนนั้นเวลาก็ 6 โมงครึ่งแล้ว แต่วิธีการเล่นจะแปลกอยู่อย่างนึง ก็คือว่าตัวเด็กผู้หญิง 2 คน เขาเอาเสื่อมาม้วนกับพื้นคนนึงจับหัว คนนึงจับท้าย เหมือนเป็นหมอนข้าง แล้วก็นั่งยองๆ แล้วสั่งให้คุณโต้งและเด็กทุกคนมาล้อมเป็นวงกลมไว้ แล้วเด็กผู้หญิง 2 คนก็พูดเป็นภาษาอีสาน คุณโต้งจับใจความได้บางคำประมาณว่า ขอเชิญ พี่อะไรซักอย่าง มาเล่นซ่อนหาด้วยกัน ให้มาอยู่ในเสื่อผืนนี้ จากนั้นซักพัก เสื่อตรงกลางก็ปล่องออก อารมณ์ประมาณว่างูเหลือมกินอะไรเข้าไป ตอนนั้นคุณโต้งก็ตกใจ ว่ามันคืออะไร แต่ทุกคนก็ดูเหมือนเป็นปกติ และสิ่งที่แปลกอีกอย่าง ซักพักอยู่ดีๆเสื่อมันแกว่งซ๊ายแกว่งขวาเอง และเด็กผู้หญิง 2 คนก็ลุกขึ้น เด็กทุกคนก็วิ่งไปแอบกันโดยอัตโนมัติ พอคุณโต้งเห็นคนอื่นวิ่ง ก็วิ่งไปแอบบ้าง คุณโต้งวิ่งเข้าไปแอบในโอ่งที่มีน้ำแล้วก็เอาฝาปิดไว้ ระหว่างที่แอบคุณโต้งก็ได้ยินเสียงเด็กๆข้างนอกกำลังหากันอยู่ แล้วก็พูดว่าเจอแล้วๆ ซักพักเด็กผู้หญิง 2 คนนั้นก็เดินมาเปิดฝาโอ่งที่คุณโต้งแอบอยู่ออก แล้วก็บอกว่า เจอแล้ว พอคุณโต้งออกมาจากโอ่ง ก็เห็นเด็กผู้หญิง 2 คนนั้น ในมือก็ยังถือเสื่ออยู่ และเสื่อก็ยังแกว่งแต่มาหยุดที่โอ่ง ทีนี้พอเหลือคนสุดท้าย คุณโต้งก็ได้เห็นว่าทำไมเด็กผู้หญิง 2 คนนั้นถึงหาเจอคุณโต้งเจอ คือว่า เด็กผู้หญิง 2 คน จะวิ่งตามเสื่อ เสื่อแกว่งไปทางไหน ก็จะวิ่งตามไป จนไปเจอคนสุดท้าย ตอนนั้นคุณโต้งเริ่มรู้สึกสนุก ไม่กลัว ไม่เคยเล่นซ่อนแอบแบบนี้เลย
คราวนี้ก็มาเล่นซ่อนแอบกันอีกรอบนึง เด็กหญิง 2 คนก็นั่งลงทำเหมือนเดิมทุกอย่าง พอเด็กๆเริ่มวิ่งไปแอบ คุณโต้งก็คิดว่ารอบนี้ต้องเป็นคนสุดท้ายที่โดนหาเจอ คุณโต้งมองไปเจอยุ้งข้าว ประตูเปิดเอาไว้เล็กน้อย และในยุ้งข้าวจะมีกองฟางอยู่คุณโต้งก็เลยไปแอบหลังกองฟาง นั่งแอบอยู่ซักพักนึง ก็รู้สึกว่าเผลอหลับไป แล้วก็มีเสียงเข้ามาในหูว่า โต้งๆ กลับบ้าน โต้งกลับบ้าน คุณโต้งก็เลยตื่น เหงื่อเต็มตัวเสื้อเปียกไปหมดเลย และรู้สึกว่าร้อนมาก คุณโต้งก็เลย ปีนกองฟางลงมา แล้วมือไปโดนคันไถ คุณโต้งก็งงว่าทำไมตอนเข้ามาไม่เห็นมี และประตูก็ปิด คุณโต้งจำได้ว่าตอนเข้ามาไม่ได้ปิดประตูแน่นอน คุณโต้งก็เลยเดินไปเปิดประตู แต่ว่าเปิดไม่ได้ ประตูมันถูกล็อคจากข้างนอก คุณโต้งเลยเขย่าประตูและก็ได้ยินเสียงคนประมาณ 10 คนได้ พูดกันเต็มไปหมด แล้วก็วิ่งมาที่ประตู และก็ได้ยินเสียงคนกำลังเอากลอนออกจากประตู พอเปิดประตูออกมา ปรากฏว่ามันเช้าแล้ว ซึ่งตอนที่คุณโต้งเล่นซ่อนแอบมันประมาณ 2 ทุ่ม และคนที่อยู่ตรงหน้าคุณโต้ง ก็คือ ย่า พ่อ ชาวบ้าน และก็เด็กๆ กลุ่มนั้นที่เล่นซ่อนแอบด้วยกันเมื่อคืน ย่าและพ่อก็รีบวิ่งเข้ามากอดและร้องไห้ ชาวบ้านแถวนั้นก็บอกให้พาไปวัดเลย ตอนนั้นคุณโต้งก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าหลับไปแค่นั้นเอง
พอไปถึงวัด ก็เห็นหลวงพ่อที่วัดนั่งรออยู่กับพระอีก 2 รูป เขาก็พาคุณโต้งขึ้นไปบนศาลา หลวงพ่อก็เอาสายสินญ์มาพันมือให้ แล้วก็สวดมนต์และเอาจีวรพระห่มตัวคุณโต้ง พอสวดมนต์เสร็จก็ดึงผ้าออก และบอกว่า วันนี้อย่าไปไหน คืนนี้นอนที่วัดกลับหลวงพ่อนะ คืนนึง ระหว่างที่อยู่บนศาลาก็มี ย่า พ่อ ชาวบ้าน และเด็กๆ เขาก็นั่งคุยกัน เด็กคนนึงในกลุ่มที่เล่นกับคุณโต้งก็วิ่งมาหาและนั่งคุยกับคุณโต้งว่า ไปไหนมา เขาหากันอ่ะ ไปไหนมา คุณโต้งก็บอกว่าผมมาซ่อนอยู่ที่นี่ไง แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นก็เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่เล่นซ่อนแอบกัน ก็หาคุณโต้งเจอเป็นคนสุดท้าย แต่ว่าตอนนั้นคุณโต้งเดินออกมาให้เขาจับเอง พอเจอคุณโต้ง คุณโต้งก็มีอาการเปลี่ยนไป ดูนิ่งๆ และไอตลอดเวลา เพื่อนสังเกตว่าไม่สบายหรือเปล่า และถามกับคุณโต้งว่า กลับบ้านมั๊ย คุณโต้งก็บอกเพื่อนๆว่า พาผมไปส่งบ้านหน่อย เพื่อนก็เลยเลิกเล่นกัน เด็กๆพวกนั้นก็พาคุณโต้งไปส่งที่บ้าน ระหว่างที่เดินกลับบ้าน คุณโต้งก็ไอ และถ่มน้ำลายไปตลอดทาง หมาก็หอนไล่กันมาตลอด เด็กคนนั้นก็เดินจูงมือคุณโต้ง และก็บอกว่า วิ่งๆๆๆ แล้วคุณโต้งก็ถามเพื่อนว่า กลัวผีมั๊ย เพื่อนก็บอก กลัวสิ ไม่กลัวได้ยังไง พอมาถึงที่บ้านคุณโต้ง คุณโต้งยืนอยู่หน้าบ้านไม่ยอมเข้าบ้าน จนเด็กพวกนี้เขาตะโกนเรียกย่า ย่าคุณโต้งชื่อว่า ย่านาง เด็กก็ตะโกนไปในบ้านว่า ย่านางๆ เอาโต้งมาส่งละนะ ย่าก็บอกว่า เออ เข้ามาเลย หลังจากนั้นคุณโต้งก็เดินเข้าบ้านไป
แล้วย่าก็เล่าให้ฟังต่ออีกว่า พอคุณโต้งเดินเข้าไปบ้านเสร็จแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปในครัว ไปเปิดตู้กับข้าวหาอะไรกิน ปกติคนอีสานก็กินอาหารเป็นพวกน้ำตก ลาบหมู ตอนเด็กๆคุณโต้งอยู่กับแม่ที่กรุงเทพ เวลาไปอีสานก็จะกินได้แค่ไก่กับไข่เท่านั้น แต่คืนนั้นย่าเห็นว่าคุณโต้งเดินเข้าไปในครัว หยิบพวกลาบหมู ก้อยเลือด ตับหมู กินหมดเกลี้ยงเลย ย่าก็ถามว่า หิวหรอลูก คุณโต้งตอบว่า หิว แล้วก็เดินขึ้นบ้านไปนอน ตอนนั้นย่าบอกประมาณ 4 ทุ่ม ย่าก็ถามคุณโต้งว่าพ่อไปไหน คุณโต้งตอบว่า พ่ออยู่บ้านตาปุ่น ย่าก็ไม่สงสัยอะไร แล้วก็นอนอยู่ชั้นล่างของบ้าน เช้ามืด ย่าก็ตื่นมาทำกับข้าว เพราะตอนเช้าต้องใส่บาตร พอหลวงพ่อมา หลวงพ่อแกก็มองขึ้นไปข้างบนบ้าน และก็มองลงมา คุณโต้งบอกกับย่าว่า ใครอยู่บนบ้าน ย่าบอกว่า หลานมาจากกรุงเทพ หลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่ละ มันยืนแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ข้างบนเนี่ยรีบไปดูนะ แล้วพามาหาหลวงพ่อที่วัดด้วย ย่าก็รีบขึ้นไปดู ก็ไม่เห็นคุณโต้งอยู่ในห้อง ย่าเลยไปบ้านตาปุ่น พอย่าไปถึงก็เจอเพื่อนๆ พ่อ รวมถึงพ่อของคุณโต้งก็ยังหลับกันอยู่ ย่าก็ปลุกพ่อให้ตื่น และถามว่า ลูกไปไหน พ่อเพิ่งตื่นก็ยังงงๆ ก็เลยออกตามหากัน และมีคนนึงเขาเห็นว่าคุณโต้งไปเล่นซ่อนหากับเด็กๆ พวกนี้ เขาก็เลยไปตามเด็กๆ พวกนี้มา แต่เด็กพวกนี้ก็บอกว่าพาไปส่งบ้านแล้วและเห็นคุณโต้งเดินเข้าบ้านไปแแล้ว ย่าก็เลยไปหยิบธูปมา แล้วแกก็สวดเป็นภาษาอีสาน พอแกปักธูปลงดิน ก็ได้ยินเสียงประตู เขย่า ก็คือเสียงที่คุณโต้งกำลังดันประตูออกมา ชาวบ้านก็เลยวิ่งกรูกันไปดู แต่สิ่งที่หน้าแปลก ก็คือประตูบานนั้นถูกล็อคด้วยโซ่ ห้องนี้มันถูกล็อคตายมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อคืนคุณโต้งเห็นว่ามันประตูมันเปิดไว้
คุณโต้งก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันในศาลาอีกว่า ก่อนหน้านี้มีคนๆนึงชื่อว่า บักนัด ประมาณว่า เขาคิดว่าคนชื่อบักนัดเนี่ย จะมาเอาคุณโต้งไปแทนแน่ๆ ย้อนกลับไปเมื่อก่อนจะมีโรคไหลตาย แล้วบักนัดเขาเป็นหลานของตาปุ่น ชอบไปนอนในยุ้งข้าวแล้วก็นอนหลับ ไหลตายในยุ้งข้าว ซึ่งบักนัดจะเป็นคนขี้โรค ไอตลอดเวลา คืนนั้นคุณโต้งก็ต้องนอนที่วัด 1 คืน และตอนนอนคุณโต้งก็ได้ยินคนมาเดินรอบกุฏิ แล้วไอคอกๆแค็กๆ ก็เลยปลุกหลวงพ่อ พลวงพ่อก็เปิดประตูออกไปยืนหน้าห้องแล้วก็พูดว่า จะเอามันไปทำไม มันยังไม่ถึงเวลา มันเป็นบาปเป็นกรรม แล้วเสียงบักนัดก็หายไป หลังจากนั้นเช้ามา พอของคุณโต้งก็เก็บของพาคุณโต้งกลับกรุงเทพเลย หลังจากนั้นคุณโต้งก็ไม่เคยเล่นซ่อนแอบอีกเลย