วิญญาณเจ๊ไล้!!
"จะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่กับบาปกรรม"
ดิฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ เท่าไหร่นัก ทางศาสนาก็สอนว่าเมื่อคนเราตายก็ไปเกิดทันที ส่วนจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของตน เช่นทำดีทำบุญสร้างกุศลไว้ก็ไปเกิดเป็นเทวบุตร เป็นเทพธิดา หรือที่เราเรียกรวมๆ กันว่าเทวดานั่นแหละค่ะ
ตรงข้าม ถ้าใครทำบาปทำชั่วไว้ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ บ้าง เป็นเปรต เป็นผีบ้าง ตกนรกบ้าง ที่ทำทั้งบุญและกรรมไว้ก็ได้รับสลับกันไปในภพหน้า
ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถือว่าดีแล้วนะคะ จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่เคยทำไว้
"ไม่ได้มาหลอกแต่มาขอส่วนบุญ"
พวกที่เราเรียกว่าสัมภเวสี หรือผีเร่ร่อนก็คือคนที่ตายไปแล้วมาเกิดเป็นผีนี่เอง เขาอาจปรากฏตัวให้เห็นบ้าง ได้ยินเสียงบ้าง แต่ไม่ได้เจตนาจะหลอกหลอนอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ประสงค์จะขอส่วนบุญจากเราเท่านั้น เสียแต่คนเจอเขาก็ตกใจว่าโดนผีหลอกจนมีเรื่องเล่ากันไม่จบสิ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดิฉันจะยังไม่เคยโดนผีหลอก แต่ก็ทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษและญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วเสมอ ทำใจว่าถ้าไปสู่สุคติก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าไปสู่ทุคติก็อาจจะได้รับส่วนบุญกุศลก็เป็นได้
ผีที่เราเห็นล้วนแต่อดอยากปากแห้งจึงต้องมาขอส่วนบุญจากเราใช่ไหมคะ
"ทำไมชีวิตแกถึงลำบาก"
วันหนึ่งดิฉันก็ได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดกับตัวเอง
มีแม่ค้าขายผักชื่อเจ๊ไล้ที่ตลาดจอมขวัญ ถนนสุทธิสาร คุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว แกอายุราวห้าสิบปี รูปร่างผอมสูง ผิวขาว พูดจาท่าทางสุภาพเรียบร้อย หน้าตาใสซื่อ ถ้าพบกันที่อื่นจะนึกว่าแกเป็นเถ้าแก่เนี้ย ฐานะดี เพราะหน้าตาและผิวพรรณ รวมทั้งกิริยามรรยาทบอกว่าเป็นคนชั้นสูง หรือเรียกง่ายๆ ว่า ผู้ดี
ดิฉันไม่มีความรู้ทางโหงวเฮ้ง แต่เท่าที่สังเกตดูก็แปลกใจว่าทำไมชีวิตแกต้องลำบากลำบน ตกต่ำ มีเคราะห์กรรมซ้ำเติมไม่หยุดหย่อน
"ชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม"
เจ๊ไล้เป็นม่ายสามีตาย มีลูกชายมาช่วยค้าขายก็โดนรถชนตายเมื่อตอนต้นปี
ในที่สุด เจ๊ไล้ก็เลิกเป็นแม่ค้า หันมาขี่ซาเล้งรับซื้อของเก่าไปขายพอเลี้ยงชีวิตไปได้วันๆ
ดิฉันไม่อยากคิดอะไรมาก ปลงใจว่าชีวิตคนย่อมเป็นไปตามกรรม แต่ถ้ามีโอกาสช่วยเหลือกันได้ ตัวเองไม่เดือดร้อนก็จะช่วยเหลือกันไป...เจ๊ไล้ขี่ซาเล้งเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ ซื้อพวกหนังสือพิมพ์ ของเก่า กล่องกระดาษ ขวดน้ำพลาสติก ฯลฯ แวะมาบ้านดิฉันบ่อยๆ
"แกโกงกิโล"
เราคุ้นหน้ากันมานานแล้ว ไหนจะรู้เคราะห์กรรมของแกด้วย เวลาเจ๊ไล้มากดกริ่งหน้าบ้าน ดิฉันก็รีบเปิดรับ ขนหนังสือพิมพ์บ้าง กล่องนมและน้ำผลไม้ รวมทั้งถุงกระดาษไปให้แกชั่งกิโล...เจ๊ไล้บอกว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่เคยเกี่ยงงอนอะไรเลย
ญาติๆ ที่อยู่บ้านรั้วเดียวกันเคยมาดู แล้วบอกดิฉันว่าแกโกงกิโล หนังสือพิมพ์จำนวนมากน่าจะ 20 กว่ากิโลกรัมก็บอกว่า 10 กิโลเศษ ดิฉันบอกว่าช่างเถอะ...แกจนกว่าเรา!
ต่อมา เจ๊ไล้ก็ถามถึงขวดน้ำดื่มเปล่าๆ ที่เรียงอยู่ในรั้วบ้านมากมาย ดิฉันบอกว่าไม่คิดเงินหรอก ขนเอาไปเถอะ ดีเสียอีกที่ช่วยให้หายรกบ้านไปได้! เจ๊ไล้ก็ยกมือไหว้ขอบอกขอบใจ แม้ปากจะยิ้มแต่นัยน์ตาแดงๆ ชอบกล บอกว่าจะขนไปวันนี้เลย
"แกแวะมาติดๆกัน"
สังเกตว่าระยะหลังๆ หน้าตาแกหมองลง แต่ยังยิ้มแย้มพูดจาอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่งตัวด้วยเสื้อกางเกงเก่าๆ แต่สะอาดสะอ้าน ดิฉันปล่อยให้แกเก็บขวดง่วนอยู่คนเดียว นานๆ ก็ชะโงกหน้าไปมองเสียที ถ้าแกไปแล้วจะได้ล็อกประตูรั้ว
เจ๊ไล้หยิบขวดมาวางบนพื้นซีเมนต์ตามแนวนอน แล้วใช้เท้าเหยียบจนแบนทีละขวดๆ เห็นแล้วก็นึกชมในความฉลาดที่ทำให้ขนขวดไปได้มากมายโดยไม่เปลืองเนื้อที่ซาเล้ง
แกแวะมาติดๆ กันสองวัน คือวันเสาร์กับวันอาทิตย์จนขนขวดเปล่าไปจนหมดเกลี้ยง...เย็นนั้น ริมรั้วที่เคยมีขวดเปล่ามากมายก็โล่งว่างดูสะอาดตาขึ้นกว่าเดิม
"แกคอหักตายก่อนมาหาฉัน"
ล็อกประตูแล้วเข้าบ้านมาเตรียมอาหารให้ลูกๆ ที่ยังเพลินกับวิดีโอเกมส์...จนตกค่ำก็มีเสียงกริ่งประตูดังขึ้น เมื่อเดินไปดูทางช่องด้านบนก็เห็นเจ๊ไล้ยืนยิ้ม ยกมือไหว้พลางบอกว่า ลืมขอบใจคุณที่ช่วยกรุณา...ดิฉันรีบปฏิเสธ ยืนยันว่าต้องขอบใจเจ๊ด้วยซ้ำที่ช่วยให้บ้านหายรก
เจ๊ไล้ยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปขี่ซาเล้งเลี้ยวไปทางปากซอย
วันรุ่งขึ้น ได้ข่าวว่าเจ๊ไล้โดนรถยนต์พุ่งชนที่ปากซอย แกตกลงมาคอหักตายคาที่ตอนเย็นวานนี้เอง หนังสือพิมพ์กับขวดน้ำแบนๆ กระจายเกลื่อนถนน ดิฉันใจหายเมื่อนึกว่าถ้าแกไม่ย้อนกลับมาขอบอกขอบใจก็คงไม่ต้องเสียชีวิตน่าอนาถเช่นนั้นแน่นอน
"แกไม่เคยขี่ซาเล้งมาตอนค่ำ"
หลายๆ คนยืนยันว่าตอนนั้นยังไม่ทันค่ำเลย ดิฉันนึกทบทวนแล้วก็จำได้แม่นยำว่าแกมากดกริ่งยกมือไหว้ตอนค่ำแล้ว แต่นึกเอะใจว่าแกไม่เคยขี่ซาเล้งมาในตอนมือค่ำเลยสักครั้งเดียว
อาจจะจำเวลาผิดไปก็ได้...แต่ทำไมนึกถึงแล้วขนลุกทุกทีก็ไม่ทราบค่ะ
แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องสยองขวัญ
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!