รถเมล์รอบดึก | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ


รถเมล์รอบดึก | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ


แม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้อ่านเรื่องสยองขวัญจากต่างแดนกันสักเท่าไหร่ วันนี้เลยอยากนำเสนอเรื่องเล่าขนหัวลุกที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เหตุการณ์นี้ถ้าเอ่ยขึ้นมา คนจีนต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน ยิ่งถ้าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่งแล้วล่ะก็ ย่อมรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความสยองของเรื่องนี้กันเป็นอย่างดี

เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า.. ชายคนหนึ่งต้องอยู่เคลียร์งานที่บริษัท พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เขาจึงรีบเก็บของแล้วเดินออกมาจากออฟฟิศ เพื่อไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก

เวลาตอนนั้นเขาได้แต่ภาวนาให้ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย น่าแปลกตรงที่คืนนั้นท้องถนนเงียบเชียบ ไร้รถราสัญจร ทั้งที่ในยามปกติมันไม่ควรจะเงียบจนวังเวงเช่นนี้ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ยังคงสาวเท้าเดินไปตามบาทวิถีให้เร็วที่สุด

จนในที่สุดเขาก็ถึงป้ายรถเมล์ โชคดีอยู่หน่อยที่ป้ายรถเมล์นั้นมีชายแก่คนหนึ่งนั่งรอรถอยู่เหมือนกัน ทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเงียบเหงามากจนเกินไป

รอไม่นาน รถเมล์เที่ยวสุดท้ายก็เข้ามาจอดเทียบป้าย ผู้โดยสารทั้งสองคนคือชายพนักงานบริษัทและชายแก่ได้เดินขึ้นรถ แล้วมองหาที่นั่งกันตามอัธยาศัย บนรถเมล์ตอนนั้นไม่มีผู้โดยสารเลยสักคน มีเพียงแค่พนักงานขับรถและกระเป๋ารถที่นั่งกันอยู่ตรงส่วนหน้าแค่สองคนเท่านั้น

หลังจากหาที่นั่งและจ่ายเงินค่าตั๋วเรียบร้อยแล้ว รถก็ออกแล่นไปตามท้องถนนที่เงียบเชียบและวังเวง สักพักรถก็หยุดที่ป้ายแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้โดยสารอีกสองคนเดินขึ้นรถมา คนหนึ่งเป็นหญิงชรา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาว ทั้งสองสวมเสื้อผ้าสีเทาหม่นๆ ซึ่งพนักงานบริษัทก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเอนหลังแล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตาจากความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน

ทันใดนั้นเอง ชายแก่ที่เดินขึ้นมากับเขาตั้งแต่ป้ายแรก อยู่ๆ ก็ลุกขึ้น ร้องโวยวายหาว่าพนักงานบริษัทขโมยกระเป๋าเงินของเขา สีหน้าของชายแก่ดูโกรธเกรี้ยวมาก และชี้หน้าพนักงานบริษัทพร้อมกับด่าเสียงดังโวยวายลั่นรถ ท่ามกลางความงุนงงของชายพนักงานบริษัท

แม้ว่าเขาจะปฏิเสธเช่นไร แต่ชายแก่ก็ยังคงกล่าวหาเขาอยู่อย่างนั้น กระเป๋ารถเมล์เองก็พยายามที่จะเดิมมาห้ามไม่ให้ทะเลาะกันบนรถ แต่ชายแก่ไม่ยอม แกร้องว่าจะไปแจ้งความที่โรงพักอย่างเดียวเท่านั้น ในที่สุดคนขับรถเมล์ก็ต้องจอดที่ป้ายหนึ่ง และไล่ผู้โดยสารทั้งสองคนนี้ลงรถ ด้วยเหตุผลที่ว่าทั้งสองก่อความวุ่นวาย

ทันทีที่ลงจากรถเมล์คันนั้น ชายแก่ก็มองหน้าพนักงานบริษัท พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ น่าแปลกที่สีหน้าของแกตอนนั้นไม่มีวี่แววของความโกรธหลงเหลืออยู่เลย พนักงานบริษัทมองหน้าชายแก่ด้วยความสับสนงุนงง และพูดจาถากถางชายแก่ว่า

"อ้าว ทำไมคุณไม่รีบไปแจ้งความล่ะ"

"ไม่หรอก" ชายแก่ตอบแผ่วเบา "แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เราลงจากรถคันนั้นมาได้ ผมช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ รู้ไว้ซะด้วยว่าไอ้ผู้โดยสารที่ขึ้นมาใหม่น่ะ มันเป็นผี! ผมเห็นว่ามันเดินขึ้นมา แต่มันไม่มีขา! ผมก็เลยแกล้งทำเป็นโวยวายว่ากระเป๋าสตางค์หายเพื่อที่จะได้ลงจากรถคันนั้น" ชายแก่อธิบายด้วยท่าทางขนพองสยองเกล้า

"แล้วทำไมผมไม่เห็นอย่างที่คุณว่า" พนักงานบริษัทถามด้วยยังไม่ปักใจเชื่อคำของชายแก่

"ผมเป็นคนทรงเจ้า" ชายแก่บอก


เช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งว่า
มีรถเมล์คันหนึ่งคว่ำอยู่ในหนองน้ำ ห่างจากตัวเมืองไปไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งรถคันนั้นเป็นคันเดียวกันกับที่พนักงานบริษัทและชายแก่ขึ้นมาในคืนนั้นนั่นเอง ตำรวจพบคนขับและกระเป๋ารถเป็นศพในสภาพเน่าเปื่อยอยู่ภายในรถ

นอกจากนั้นยังมีปริศนาอีกหลายๆ อย่างที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ เช่น รถเมล์คันนั้นวิ่งมาถึงจุดที่คว่ำได้อย่างไร ในเมื่อถังน้ำมันไม่มีน้ำมันสักหยด จะว่าน้ำมันหมดก็ไม่ใช่ เพราะในถังน้ำมันมีสภาพเก่าเหมือนรถคันนี้ไม่ได้ถูกใช้งานมานาน กล้องวงจรปิดที่ไม่สามารถจับภาพรถเมล์คันนี้ได้เลย และศพของโชเฟอร์และกระเป๋ารถเมล์เน่าเปื่อยเร็วขนาดนี้ได้ยังไง ทั้งที่เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ และโด่งดังไปทั่วประเทศจีน จนทำให้ชาวจีนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในเมืองที่เกิดเหตุนั้น ต้องขยาดกับการนั่งรถเมล์เที่ยวสุดท้ายของวันเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าอาจจะต้องเจอกับเหตุการณ์สยองขวัญแบบนี้เข้าสักวัน

เครดิตแหล่งข้อมูล :klangsayong


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์