กลิ่นความตายหลังเหตุสึนามิ เรื่องเล่าของจ่าทหารเรือ


กลิ่นความตายหลังเหตุสึนามิ เรื่องเล่าของจ่าทหารเรือ

ผมเคยเป็นทหารเรือ สังกัดกองบัญชาการนาวิกโยธิน ตอนนั้นหลังจากฝึกเสร็จที่ชลบุรี ฐานทัพใหญ่ของกองทักเรือ ผมก็โดนส่งลงมาประจำการที่ฐานทัพเรือพังงา ข้างบ้านทับละมุ ทหารหน้ามนคนจนชาวเหนือที่มาใช้ชีวิตอยู่ปักษ์ใต้นานจนคำพูดติดทองแดง พูดเหนือปนปักษ์ใต้จนกลายเป็นคนแปลกๆ
ผมก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ผมเองช่วงนั้นก็ไม่มีแฟน ก็เพราะไม่มีแฟนนี่แหละถึงสมัครไปรับใช้ชาติ เพราะไม่มีอะไรต้องกังวลหรือกลัวเมียหนีไปเอาคนอื่นแบบเพื่อนๆ ในทัพหลายคน (น่าสงสารมันมาก ไว้วันหลังจะเขียนเรื่องชีวิตทหารเรือให้อ่านกัน)

โชคดีที่ผมไม่ใช่คนเที่ยว กินเหล้าหรือเมายา กลางค่ำกลางคืน เพื่อนๆ พากันไปเที่ยวสาวๆ ตรงสามแยกหน้าถนนทางเข้าฐานทัพ แหล่งกินตับของทหารชายกลัดมัน ส่วนตัวผมนั้นขี้อายจะให้ไปล่อนจ้อนต่อหน้าคนที่ไม่ได้เป็นคนรักคงไม่ไหว

ช่วงนั้นเป็นเหตุการณ์หลังสึนามิได้สามปี ที่ทับละมุนั้นผมก็เคยได้ข่าวมาว่าคนตายเป็นเบือ ศพเต็มหาด บางศพไปเกยค้างอยู่กับต้นสน ท่านนายพลกำลังตีกอล์ฟก็ยังโดนคลื่นกวาดจมหายไปพร้อมกับพริตตี้สนามกอล์ฟ (แคทดี้ล่ะมั้ง) ไม่รู้จะไปตีกอล์ฟกันต่อที่ก้นทะเลหรือเปล่า นัยว่าก็ตายโหงกันเยอะเลยบริเวณนั้น (จ่าคนเล่าแกว่างั้น)

ทุกเย็นผมจะขอไปเตะบอล เตะฟุตซอล กับทหารหน่วยกองเรือ ก็ที่นั่นจะมีท่าเรือของทหารเรือหน่วยเรือ จะมีเรือรบหลายลำ พอผมไปเตะเป็นประจำก็ได้รู้จักกับจ่าหน่วยเรือคนนึง ขอไม่เปิดเผยชื่อแล้วกัน ไม่ได้ขออนุญาตแกมาเล่า เดี๋ยวแกโทรตามมาสั่งพุ่งหลังผมที่ทำงานจะแย่

พอเตะบอลกับจ่าบ่อยๆ ก็เริ่มคุ้นเคย และเริ่มสนิทกันเพราะนิสัยใจคอคล้ายๆ กัน ธรรมะ ธรรมโม พอผมว่างแกก็มาชวนแหละ แถวนั้นมันเป็นเขตฐานทัพไง พวกสัตว์น้ำชุกชุม วางลอบเอาไว้ตอนเช้า เย็นๆ ไปเก็บ มีปูสดๆ กินฟรีทุกที แกจะเอาเนื้อปลามาหมักๆ ไว้ให้เกือบเน่า แล้วเอาใส่ลอบดักปูไปวาง แกว่ากลิ่นเน่าๆ ของปลา มันจะล่อให้ปูม้าเข้ามากินแล้วออกไม่ได้ แล้วเราก็จะกินมัน (ธรรมะ ธรรมโมสุดๆ)
ผมก็เดินลุยทะเล เป็นลูกมือแกไป เพราะแกก็อายุมากแล้ว แต่สอบขึ้นพันจ่าไม่ได้สักที แกบอก สู้พวกจ่าหนุ่มๆ ไม่ไหว พวกนี้เค้าฉลาด แกก็เลยว่าอยู่แบบนี้ไปจนเกษียณหรือลาออกก่อนก็แล้วกัน ผมก็คุยกับแกนะ พอเอาลอบขึ้นมาแต่ละอัน จะเจอปูม้า บางทีก็มีปูดำตัวใหญ่หลายตัวติดอยู่ อยู่ๆ แกก็พูดขึ้นมาว่า

"นี่ถ้าเป็นช่วงหลังสึนามิเนี่ย ไม่มีใครกล้ากินปูปลาแถวนี้ร้อก"
"ทำไมครับจ่า"
"ขนาดปลาเน่าที่เอามาทำเหยื่อ ปูยังเข้ามาแดรกตรึม ลองคิดถึงศพเน่าเต็มทะเลแถวนี้สิ"
"จ่าครับ ตอนสึนามิมา จ่าอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า"
"กูนี่แหละ ที่ออกเก็บศพพวกที่ตายขึ้นเรือ"
"วันนั้นเป็นยังไงบ้างครับ ผมอยากรู้ แล้วจ่ารอดมาได้ยังไง ไม่น่าจะรอดมาได้ เห็นเขาบอกแถวนี้ตายเยอะ"
"งั้นจะเล่าให้ฟัง"
วันนั้นจ่านั่งเต๊ะท่าวางมาดเป็นนายยามอยู่บนเรือ ไม่มีการเตือนหรือแจ้งล่วงหน้าใดๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรือมันไหวๆ วูบๆ สักพักพลทหารที่เข้ายามคู่กัน ก็วิ่งหน้าตาตื่นมาจากหัวเรือ เพราะเรือหันหน้าออกไปทางทะเล
"จ่าๆ คลื่นสูงเทียมยอดไม้เลยกำลังตรงมาทางนี้ครับ"

แต่มันช้าเกินไป ทำอะไรไม่ได้แล้ว จ่าได้แต่บอกให้พลทหารคู่ยาม หาที่กำบังและเกาะแน่นๆ พอคลื่นมาถึงตัวเรือ เชือกที่ผูกเรือกับพุก ก็ขันเกลียวแน่น เสียงเชือกเรือลั่นเปรี๊ยะๆ ปริ่มๆ จะขาด เรือเคลงไปเคลงมาอย่างหนัก

เราเป็นเรือขนาดกลาง พอคลื่นมาสิ่งเดียวที่จะรักษาชีวิตคนบนเรือได้คือ เชือกหัวเรือ กลางลำ และท้ายเรือ ที่ก็ไม่ได้เส้นใหญ่อะไร คือถ้าเชือกขาด ทุกอย่างจบแน่ๆ ชีวิตของทหารบนเรือด้วย ดูอย่างเรือใกล้ๆ กัน อย่าง ต.215 โดนกระชากหลุดจากท่า จมไปอยู่ก้นทะเล ขนาดเรือหลวงกระบุรี ลำใหญ่ๆ คลื่นยังกระชากจนเชือกขาด ลากขึ้นไปอยู่บนบก จนต้องเอาแบคโฮมาขุดแล้วชักลากกลับลงน้ำ
จ่าแกชี้ให้ดูซากต้นสนที่กองอยู่เต็มบริเวณนั้น แกบอกตอนก่อนสึนามิ ต้นส้นต้นใหญ่ๆ พวกนี้เคยยืนต้นเต็มบริเวณนี้ แต่พอคลื่นมา ต้นสนก็โดนถอนรากหมด จนเป็นแบบที่เห็น ตอนคลื่นมามันสูงมาก แล้วแกก็ชี้ให้ผมดู แกบอกเสียงตอนมันปะทะต้นสนดังสนั่นหวั่นไหว

พอหลังเหตุการณ์ผ่านไป มีการออกสำรวจติดตามค้นหาศพ แกบอกเฉพาะฐานทัพนั้นออกข่าวว่า 7-8 ศพ แต่จริงๆ แล้วไม่ต่ำกว่าร้อย เพราะวันที่เกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่ลูกหลานทหารเรือจะวิ่งเล่นกันหน้าบ้านพักซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่นับสิบอาคาร ขณะที่บรรดานายทหาร นักท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง กำลังออกรอบตีกอล์ฟในสนามกอล์ฟ "ศูนย์พัฒนากีฬาทับละมุ" ของฐานทัพ ซึ่งอยู่ติดกับทะเลรับคลื่นยักษ์ตรงๆ โดยที่มีลูกหลานทหารเรือทำงานเป็นแคดดี้

"วันนั้นมีรถที่เข้ามาตีกอล์ฟประมาณห้าสิบคัน คนที่อยู่ในสนามกอล์ฟวันนั้นคาดว่าประมาณสองร้อยคน เพราะเป็นวันหยุด แขกเยอะ ก็คงไม่มีเหลือ"

พอออกตามค้นหาศพ ก็เจอแค่บางศพ ติดอยู่ตามต้นไม้บ้าง โขดหินบ้าง และที่น่าจะโดนลากลงก้นทะเลก็อีกมาก ตามหาไม่เจอ

"แล้วมีผีไหมครับหลังจากนั้น"
"บ๊ะ! มันก็ต้องมีผีอยู่แล้วสิ"

พอหลังเหตุการณ์ เรือที่จ่าประจำการอยู่ก็ได้รับคำสั่งให้ออกทำการสนับสนุนการค้นหาศพผู้เสียชีวิตในทะเล ก็มีทีมกู้ภัย ประดาน้ำ ออกติดตามกันหลายหน่วย จ่าและพลทหารบนเรือก็คอยอำนวยความสะดวกให้ แกบอก สภาพศพแต่ละคนเริ่มเปื่อย บ้างก็มีรอยขาดรอยแหว่งเหมือนถูกกัดกิน มีทั้งไทยและเทศ เพราะแถวนั้นมันเชื่อมกับหาดบางเนียง ที่ฝรั่งเยอะ พอออกไปเก็บก็เลยได้เต็มท้ายเรือ

สภาพศพคือน่าสงสารมากๆ ยังกับซอมบี้ในหนังเละๆ พังๆ ทำเอาทหารเรือจ่าที่ร่วมเหตุการณ์กินเนื้อไม่ได้กันไปนาน ต้องหันมากินผักแทน พวกอาหารทะเลอย่าได้มาวางขายเชียว ไม่กล้ากิน

เก็บๆ แล้วก็ห่อด้วยผ้าขาว วางๆ เรียงๆ กันเต็มท้ายเรือ น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้ม แล้วเรือจ่าเป็นเรือหลวงหนึ่งในสองลำที่ท้ายเรือปูด้วยไม้ปาเก้ น้ำเลือดน้ำหนอง หยดลงสู่ไม้ จะเกิดอะไรล่ะ กลิ่นคาวคลุ้งที่แม้ศพจะเอาออกไปแล้ว แต่กลิ่นมันคาวติดไม้อยู่แบบนั้นน่ะสิ ขนาดขัดล้างกันด้วยโซดาไฟผสมแฟ้บไม่รู้กี่รอบ ก็ไม่หายขาด น้ำมันจากร่างกายคนนี่นะ คาวมาก

แกว่า ขับรถออกไปกลางคืน จะไปนอนบ้านเมียน้อย ตรงทางเข้าลำเหมือง พอขับออกจากด่านนาวิกไป ใกล้ๆ สนามกอล์ฟ ทางมันมีแต่ป่า ดงกระถิน แสม ไรพวกนี้ มืดๆ เลย เห็นฝรั่งสามสี่คนยืนโบกรถ ตอนแรกก็กะว่าจะจอดถาม แต่ก็เอะใจ ในนี้มันฐานทัพ พวกทหารยามคงไม่ปล่อยให้ชาวต่างชาติมาเดินเพ่นพ่านหรอก

แล้วก็จริงดังคิด พอไม่ยอมจอด ขับเลยมา มองกระจกข้าง ถึงกับอุทาน "เสด็จเตี่ยช่วยด้วย!" ตะกี้เห็นชัดๆ ไฟหน้ารถส่องเต็มตาว่าฝรั่งโบกรถอยู่ พอขับผ่านมาไม่กี่เมตรกลับหายไปเหมือนไม่เคยมีใครตรงนั้น เพื่อนจ่าก็เหยียบเต็มตีนเลย

อีกคนที่โดนคือ พลทหารยามบนเรือ ช่วงนั้นพอขนศพเสร็จ เขาลำเลียงศพออกไปหมดเรือแล้ว ทหารในเรือก็ช่วยกันล้างคราบน้ำเลือดน้ำหนองที่นองท้ายเรือ แต่กลิ่นยังคงอยู่

ทหารยามจะเข้ายามกันผลัดละสองชั่วโมง กลางวันกับหัวค่ำไม่เป็นไรหรอก แต่พอสิ้นนกหวีดเรือที่โหยหวนกรี๊ดร้องเหมือนเสียงเปรตที่เป่าออกลำโพงเรือ ดังไปเจ็ดคุ้งน้ำ ทุกคนก็พากันพักผ่อน เหลือไว้แต่พลทหารที่เข้ายาม ผลัดละหนึ่งคน สะพายปืนประจำอยู่ที่กลางลำ แกว่าไอ้พลทหารคนนี้ มันเข้าช่วงตีสองถึงตีสี่ แกเป็นนายยามกำลังหลับสนิท อยู่ๆ มันก็มาเขย่าตัวจ่าที่เตียง

"จ่า...จ่าครับ!"
"หืมมม มีรายวะ" (อารมณ์เมาขี้ตาเลย)
"จ่าไปดูท้ายเรือหน่อยครับ"
"อะไรของมึง ท้ายเรือมีอะไร"
"มีคนมานั่งอยู่ท้ายเรือครับ ไม่รู้พวกไหน จ่าไปดูหน่อย"

พอจ่าแกลุกขึ้นไปดูก็ไม่มีใคร แต่พลทหารคนนั้นก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ จ่าแกก็หงุดหงิดเพราะมากวนเวลานอนโดยที่ไม่มีอะไร แล้วก็ไม่ใช่แค่คนเดียว ยังมีอีกคนเข้ายามตอนดึกเหมือนกัน แต่คนละเรือ บอกว่าเรือของจ่าเป็นเรือผีสิง เพราะพลทหารที่เป็นยามอยู่เรืออีกลำบอกว่า ดึกๆ เดินตรวจมาทางหัวเรือ มองไปทางเรือที่ใช้ขนศพก็เห็นเงาคนนั่งเต็มท้ายเรือ บางเงาก็นั่งห้อยขาข้างเรือ เป็นที่สยองขวัญมาก จนมีการแซวเล่นว่า เรือจ่าไม่ต้องมีทหารยามก็ได้มั้ง มียามพิเศษมาช่วยเฝ้าแล้วนั่น

เรื่องผีท้ายเรือทำเอาพลทหารที่ต้องเข้ายามตอนดึกๆ หวาดกลัว เพราะการจัดยามจะรู้ล่วงหน้าว่าใครอยู่ผลัดไหน แต่ก็ทนกันมาได้ จนไม่มีมาให้เห็นอีก คงจะเพราะการทำบุญใหญ่เรือด้วยล่ะมั้ง
อีกพวกที่เจอคือ นาวิกเฝ้าด่าน ยืนเฝ้าด่านตอนดึกๆ ทางที่พ้นจากด่านท่าเรือไปทางสนามกอล์ฟ มันมืดๆ มีไฟแค่เสาไฟบางต้น พอดึกๆ ก็เพ่งมองไปตามถนนที่มันมืดๆ เห็นคล้ายๆ เงาคนหลายคนกำลังเดิน ก็ไปสะกิดเพื่อนบอก "ใครเดินบนถนนวะ" พอช่วยกันเพ่งสองคน ก็เห็นจริงๆ ว่าคล้ายมีเงาคนเดินอยู่บนถนนหลายเงา เคลื่อนไปทางสนามกอล์ฟ เดินไปเดินมาอยู่แบบนั้น

"สงสัยท่านนายพลตีกอล์ฟที่หายไปตอนสึนามิจะออกรอบตอนดึกว่ะ"
"หึ้ย! อย่าออกรอบเดินมาทางนี้แล้วกัน"

เรื่องผีตอนสึนามินี่ เรียกว่าเป็นที่กล่าวขานกันมาก ลือไปต่อๆ กันทั่วอันดามันช่วงนั้นตอนกลางคืน อย่าได้มีฝรั่งกลุ่มไหนมายืนโบกรถเชียว จะว่าคนไทยแล้งน้ำใจก็ไม่ใช่ แต่เพราะกลัวจะเจอเหมือนพวกรถโดยสารที่วิ่งกลางคืน หรือคนอื่นๆ ที่จอดรับจะชะโงกหน้าไปคุย อ้าว...หาย! เหยียบรถบิดรถกันขนลุกไป แล้วก็เอาไปเล่าต่อๆ กันไป เพราะกลิ่นความตายมันกระจายไปทั่วในช่วงนั้น

บางคนก็เจอ บางคนแค่ได้กลิ่น บางคนแค่ได้ยินเสียงร้องไห้น่าเวทนาลอยมาตามลม บางคนก็มองเห็นไกลๆ เป็นแค่เงาคนในทะเล บางคนอาจจะเห็น แต่ไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังเจอผีก็มี เพราะก่อนตายพวกเค้าคงจะทรมานน่าดู บางทีวิญญาณที่ออกมาให้คนเห็นช่วงนั้น อาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองสิ้นลมหายใจไปแล้


เครดิตแหล่งข้อมูล : klangsayong


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์