กุดังเก็บศพ – เรื่องเล่าเขย่าขวัญ


กุดังเก็บศพ – เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

สมัยเด็กผมเป็นอารามบอยอยู่วัดแถวมีนบุรีนี่เอง เรื่องความแก่นแก้วซุกซนคงไม่ต้องพูดถึง ทุกวันนี้ผมเป็นปู่คนแล้ว วันนี้มีโอกาสก็เลยอยากจะนำเรื่องขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังครับ

วัดนี้แปลกอยู่อย่างที่มีถึงสามชื่อ ไม่ใช่ชื่อวัดนะครับ แต่พระท่านเรียกกันเองว่า วัดเหนือ วัดกลาง และวัดใต้ คือแบ่งเป็นสามตอน ค่อนข้างห่างกันก็เรียกกันตามสะดวก ฟังเผิน ๆ คล้ายกับมีสามวัดไปเลย
ที่วัดแห่งนี้ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ไม่มีบ้านผู้คนสักหลัง มีแต่ท้องนาเวิ้งว้างไกลลิบ ๆ แถมยังติดป่าช้าอีกต่างหาก มีเมรุเผาศพแบบโบราณที่เรียกว่า "เมรุปูน" ใกล้ ๆ กันนั้นมีตึกเก่าแก่ บานประตูเหล็กขึ้นสนิม มีต้นไทรใหญ่หลายต้นขึ้นร่มครึ้ม แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมตึกหลังนั้นให้ดูเยือกเย็น น่าวังเวงใจ แม้จะเป็นตอนกลางวันแสก ๆ ก็ตาม

ยิ่งเวลามีสายลมพัดซ่า มันจะเกิดเสียงพิลึกพิลั่นอย่างบอกไม่ถูก บางทีฟังเหมือนเสียงคนหัวเราะเกรียวกราว แต่บางทีก็ฟังคล้ายใครกลุ่มหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น หรือไม่ก็ทอดถอนใจด้วยความทุกข์โศกเต็มประดา

ไอ้ตึกที่ผมพูดถึงนี้ก็คือ โกดังเก็บศพ! บางคนเรียก "กุดัง" มั่ง "โรงทึม" มั่ง แต่ของจริง ๆ ก็คือสถานที่เก็บศพสารพัดชนิด ทุกเพศทุกวัย สมัยนั้นบอกได้คำเดียวว่าน่ากลัวมาก ๆ ครับ วันดีคืนดีเจ้าอาวาสไม่อยู่ก็จะมีพระหนุ่ม ๆ ดอดเอากุญแจไปเปิดกุดังเก็บศพ เปิดโลงศพดูกัน ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าดูตรงไหน พวกเด็กวัดสามสี่คนก็ตามหลังพระเข้าไปดูด้วย

ผมเองยอมรับว่าตั้งหลักอยู่ห่าง ๆ เพื่อนชวนเข้าไปก็ส่ายหน้าดิก อ้างว่าไม่สนุก แต่ความจริงก็กลัวผีนั่นแหละครับ ขนาดอยู่ห่าง ๆ ยังได้กลิ่นเหม็นหืนโชยมาตามลม เสียงฝาโลงลั่นเอี๊ยดอ๊าดตอนช่วยกันเปิด กลิ่นเหม็นยิ่งรุนแรงมากขึ้น ขนาดอยู่ในที่โล่ง ๆ ยังต้องอุดจมูก ไม่รู้ว่าสภาพศพขึ้นอืดในโลงมันน่าทัศนาตรงไหน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เป็นช่วงโพล้เพล้ ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นไทรเหนือกุดังโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือก ตกใจแทบสิ้นสติ! ร่างดำ ๆ นับสิบเกาะอยู่ตามกิ่งไทร จ้องมองลงมาตาถลึง สัมผัสได้ถึงความขัดเคืองที่ถูกรบกวน ล่วงเกินในยามที่พวกเขากำลังนอนพักอย่างสงบสุขเป็นครั้งสุดท้าย

เห็นแบบนั้นผมถึงกับวูบ ลมจะจับเอาให้ได้ ลิ้นแข็งคับปากจนพูดอะไรไม่ออก ก่อนที่สายลมจากทุ่งนาจะพัดซ่ามาอย่างเยือกเย็น จนทำให้ตัวที่ชุ่มเหงื่อของผมเย็นวาบ พอได้สติอีกที ภาพน่ากลัวเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว

หลายคืนถัดมา ก็ได้ข่าวว่ามีการท้าทายกันว่าใครจะกล้าเข้าไปในกุดังเก็บศพคนเดียว มีนมกระป๋องตราเรือใบกับบุหรี่เกล็ดทองเป็นเดิมพัน แต่ของสองอย่างนั้นจะวางไว้ในโลงศพ ใครกล้าเข้าไปหยิบนมกับบุหรี่มาได้ถือว่าชนะ และจะได้รับรางวัลนั้นไป

จำได้ว่ามีพระรูปหนึ่งชื่อ หลวงพี่หนุ่ย รับคำท้าทันที!

หลวงพี่รูปนี้มีนิสัยแปลก ๆ ชอบเล่นเครื่องรางของขลัง สวมประคำพวงใหญ่ ชอบวางตัวเหนือผู้อื่นทั้ง ๆ ที่เพิ่งบวชพรรษาแรก พอกลับจากพายเรือบิณฑบาต ฉันเช้าเสร็จก็เก็บตัวเงียบในกุฏิ ท่องบ่นคาถาอาคมงึมงำแทบทั้งวัน พระรูปอื่นไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ จึงหาวิธีลองของเหมือนจะท้าพิสูจน์ หรือแกล้งกันในทีว่าจะมีคาถาอาคมแก่กล้าจริงหรือเปล่า

พอฟ้ามืดไปไม่นานก็ได้เวลาเปิดกุดังและเปิดโลง!

คืนนั้นเดือนมืด ท้องฟ้ามีเมฆหนาทึบ ไม่เห็นดาวเลยแม้แต่ดวงเดียว เด็กวัดก็แห่ตามไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ สายลมพัดโชยวู่หวิว เสียงแมลงกลางคืนระงมเซ็งแซ่ พอเราเดินผ่านก็เงียบกริบ ครั้นคล้อยหลังก็ดังขึ้นมาอีก

หลวงพี่หนุ่ยถือเทียนเดินนำหน้า ไม่ช้าก็เปิดประตูเหล็กดังบาดหู แล้วหายเงียบเข้าไปในนั้น พระรูปอื่น ๆ กับเด็กวัดจับกลุ่มรอกันอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครหัวร่อต่อกระซิกกันเลย แต่แล้วจู่ ๆ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังออกมาจากกุดังเก็บศพ เล่นเอาพวกเราสะดุ้งเฮือกไปตาม ๆ กัน

หลวงพี่หนุ่ยเผ่นอ้าวจีวรปลิวออกมา หน้าตาตื่นตกใจสุดขีดปรากฏให้เห็นในแสงไฟฉาย ในมือไม่มีทั้งเทียน บุหรี่ และนมกระป๋อง วิ่งเตลิดขึ้นกุฏิเงียบกริบ พอออกพรรษาก็รีบหาฤกษ์สึกทันที! แม้ว่าจะไม่ยอมปริปากบอกใครว่าพบเห็นอะไรในกุดังศพ แต่พวกเราก็พอเดาได้ว่าหลวงพี่หนุ่ยเจอประสบการณ์น่าขนหัวลุกขนาดไหน

จนแล้วจนรอดไม่นานนักหลังจากนั้น หลวงพี่ชัย หนึ่งในผู้สังเกตการณ์อยู่ภายนอกกับพวกเราในคืนนั้นก็ตามสืบจนได้รู้ ว่าหลวงพี่หนุ่ย ซึ่งตอนนี้ก็คือทิดหนุ่ย แกถูกผีหลอกเข้าเต็ม ๆ แกว่าครั้งแรกก็ใจกล้า แต่พอก้าวเข้าไปในกุดังศพใจกลับแป้ว แต่ครั้นจะกลับออกไปมือเปล่าก็จะกระไรอยู่

ทิดหนุ่ยบอกว่า แกล้วงมือเข้าไปในโลงผีที่ถูกงับเอาไว้พอเป็นพิธี พอฝาโลงเผยอออกเท่านั้นแหละ กลิ่นเน่าของศพก็พุ่งมาปะทะจมูกจนแกสำลัก

แกว่ารีบทำรีบจบ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น พอทิดหนุ่ยล้วงมือลงไปแล้วควานหากล่องนมกับซองบุหรี่ จู่ ๆ มือของศพเจ้าของโลงก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือแก บีบแน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างโหยหวน ราวกับจะรู้ว่าแกมีของเลยอยากลองวิชา เพียงเท่านั้น หลวงพี่หนุ่ย หรือ ทิดหนุ่ย สะบัดมือสุดแรง ก่อนจะแหกปากร้องลั่น วิ่งจีวรปลิวอย่างที่เห็นนี้แหละครับ

พวกพระหนุ่มกับเด็กวัดคนอื่น ๆ พากันหัวเราะขบขันกับประสบการณ์การถูกผีหลอกของทิดหนุ่ย แต่ผมไม่เอาด้วย เดินเลี่ยงออกมาจากวงสนทนา ผมกลัวผีครับ! ใจเขาใจเรา ไม่เอาด้วยดีกว่า

เรื่องราวก็มีประมาณนี้พอเป็นสังเขป ไว้มีโอกาสจะกลับมาเล่าให้ฟังใหม่ สวัสดีครับ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์