เปรตท้ายสวน


เปรตท้ายสวน

เราไปตกปลาที่ท้ายสวน


สมัยก่อนครอบครัวยากจนมาก ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน..ในที่สุดก็ต้องย้ายมาเช่าบ้าน อยู่ในสวนแห่งหนึ่ง มันเป็น สวนกล้วย สวนมะพร้าวซึ่งมองไปแล้วเหมือนป่ารกๆทึบๆมาอยู่ในสองเดือนเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่ ผมและพี่น้องก็หาที่วิ่งเล่นกันตามประสาเด็ก

ทุกเช้าผมจะต้องเดินไปโรงเรียนเพ่อประหยัดค่ารถไหเป็นค่าอาหารกลางวัน กว่าจะถึง

โรงเรียนก็เลยเวลาเคารพธงชาติไปแล้ว เวลาเลิกเรียนผมก็จะเดินกลับบ้านเช่นกัน แต่ผมกับพี่ชายจะแวะเข้าไปเก็บชมพู่ในสวนมากินเพื่อประทังความหิวก่อนจะถึงบ้านเป็นประจำ ส่วนพ่อผมไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยทำงาน..วัน ๆ ดีแต่กินเหล้าเมายา ด่าตีลูกเมีย เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ สร้างความกดดันให้กับพวกผมและแม่เป็นอย่างมาก.บางวันก็ถึงขนาดไม่มีกับข้าว พี่ชายบอกผมว่า เอาอย่างงี้ดีกว่า เราไปตกปลาที่ท้ายสวนหลังบ้าน ถ้าได้ปลาก็เอามาทำกับข้าวกิน ถ้าได้มากก็เอาไปขายที่ร้านค้า จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ลงได้บ้าง



ปลามันชุมมาก


ผมเห็นด้วยกับความคิดของพี่จึงเริ่มลงมือทันทีโดยผมเป็นคนไปหาตัดไม้มาทำคันเบ็ด ส่วนพี่ชายเดินออกไปซื้อตัวเบ็ดที่ตลาด วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนกลับมาทำงานที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่ชายก็ออกไปตกปลาที่ท้ายสวนตาที่คุยไว้..ไปถึงท้ายสวน ผมและพี่ชายเลือกหาทำเลจนได้เป็นที่พอใจจึงเริ่มลงมือตกปลามีใส้เดือนเป็นเหยื่ออย่างดี

เรานั่งตกปลากันจนเพลิน พี่ชายบอกผมว่าวันนี้เรากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยววันหลังค่อยมาตกใหม่ ผมและพี่ชายกลับบ้านด้วยความภูมิใจ เพราะตกปลาได้มากพอสมควร กลับถึงบ้านพี่ชายจัดแจงเอาปลาที่ตกได้มาทำกับข้าว แล้วสั่งให้ผมไปหุงข้าวได้เลย เดี๋ยวแม่กลับมาจากโรงงานจะได้กินข้าวกัน (ลืมบอกไปว่าแม่ผมทำงานอยู่โรงงานพลาสติก) ไม่นานแม่ผมก้อกลับมา ซึ่งผมและพี่ชายก็จัดสำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ลงมือกินข้าวหลังจากที่หิวมาทั้งวัน ขณะกินข้าวแม่ถามว่า ไปเอาปลาจากไหนมาทำกับข้าว ผมไปตกมาจากท้ายสวน ปลามันชุมมากเลยแม่ พี่ชายผมตอบมื้อนั้นเรากินข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ พี่ชายกับผมจึงมานั่งคุยและปรึกษาแม่ว่า

ที่ท้ายสวนหลังบ้านเรามีปลาชุมมากและแม่ ผมคิดว่าตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้วจะไปวางเบ็ด ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนค่อยไปเก็บถ้าวันไหนไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะไปเก็บตอนกลางคืนด้วย เผื่อได้ปลาเยอะจะได้ไปขายที่ตลาดดีมั้ยแม่ แม่นั่งนิ่งเงียบสักพัก ตามใจ แต่แม่ไม่อยากให้ทำหรอก มันบาปนะลูก



ไม่มีปลาติดสักตัวเดียว


เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงทองให้อยู่รอด ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกนี่แม่ ไม่บาปหรอก ผมเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพียงแต่บอกว่า แม่ให้ทำ แต่ถ้าวันไหนเรามีกับข้าวกินสบายแล้วก็อย่าไปตก อย่าไปทำเขา เลิกซะ

ประมาณ 2-3 วัน ผมกับพี่ชายจัดการหาอุปกรณ์วางเบ็ดที่ท้ายสวน ตกลงกันอีกครั้งว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนไปโรงเรียนจะมาเก็บเบ็ดที่วางไว้

คืนนั้นผมกับพี่ชายนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้นกับการวางเบ็ด พอใกล้เช้าเรารีบออกไปเก็บเบ็ด พี่ชายผมดีใจมากเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง เราได้ปลามากพอสมควร นำไปขายที่ตลาดได้เงินมาให้แม่ ผมคิดว่าต่อไปเราคงลำบากน้อยลง

เวลาผ่านไปหลายเดือน พี่ชายกับผมยังทำการวางเบ็ดล่อปลาเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้รู้สึกแปลก ๆ ผิดปกติ..ปลาที่เคยเห็นว่าเยอะชุกชุมกลับเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้เสียงกระโดด ไม่มีปลาไหว้ไปมาสักตัว มันไม่เหมือนเคยเป็นเช่นวันก่อน ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร วางเบ็ดตกปลาเสร็จจึงกลับบ้านเช้าขึ้นพี่ชายปลุกผมให้ลุกไปช่วยเก็บเบ็ด แต่เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจอย่างที่สุด เพราะเบ็ดทุกคันที่วางปลาวันนี้ไม่มีปลาติดสักตัวเดียว พี่ชายมีสีหน้า งง ๆ



เงาดำตะคุ่ม ๆ


แปลกจริง ทำไมวันนี้ไม่มีปลาติดเบ็ด สงสัยจังเลย

เช้าวันนั้น พี่ชายและผมไปโรงเรียนกันด้วยความสงสัยตลอดเวลา กลับถึงบ้านนั่งคุยกันสักพัก แล้วชวนไปวางเบ็ดเหมือนเดิมบรรยากาศที่ท้ายสวนวันนี้ดูเงียบสงัดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดกับมาจากวางเบ็ดมาถึงบ้านพี่ชายปรึกษาผมว่า เอาอย่างนี้มั้ย เดี๋ยวคืนนี้ตอนดึก ๆ เราไปดูเบ็ดที่วางไว้กัน เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีปลาติดเบ็ดเลยสักตัว

ผมพยักหน้ารับ เที่ยงคืนกว่า พี่ชายมาปลุกผมว่าไปกันได้แล้ว เดินออกมาได้นิดหน่อย พี่มิ่ง ทำไมวันนี้มันมืดจัง ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราหาทาง มะพร้าวมาทำคบไฟส่องดูเบ็ดกัน พี่ชายเดินนำหน้าพร้อมคบไฟที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยทางมะพร้าวยาวประมาณเมตรกว่าๆ ส่วนผมเดินตามไปติดๆ มุ่งหน้าไปยังที่วางเบ็ด แต่ยังไม่ทันถึงผมและพี่ชายก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ท้ายสวน อีกฝั่ง เมื่อเห็นดังนั้นพี่ชายดับไฟทันที แล้วหันมาบอกกับผมว่า สงสัย จะเป็นขโมย เราตามไปดูกันดีกว่า ยังไม่ทันตอบพี่ชายก็รีบเดิน ผมวิ่งตามติดจนมาถึงก็ไม่เห็นอะไร เราจึงเดินกลับมาตรงที่วางเบ็ดแล้วสายตาของเราทั้งสองก้อเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ อีก มันอยู่ตรงที่วางเบ็ดที่ผมตะโกนขึ้น



ปากเล็กเหลายาวเหมือนรูเข็ม


นั้นใคร มาทำอะไรตรงนั้น

เงียบไม่มีเสียงตอบใด ๆ พี่ชายผมจุดคบไฟอีกครั้งเพื่อต้องการดูหน้า มันให้ชัดเจน เมื่อแสงไฟส่องสว่าง ผมกับพี่ชายถึงกับตะลึงตาค้าง ปากคอสั่น ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าเป็นร่างของชายแก่ร่างผอมเหี่ยวแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ดวงตาแดงก่ำ ปากเล็กเหลายาวเหมือนรูเข็ม

ขณะที่เราจ้องมองด้วยความตกตะลึง ร่างงของชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเลยต้นมะพร้าว ชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลยต้นมะพร้าว ชายแก่จ้องเขม็ง มองมายังพี่ชายผมพร้อมกับยื่นมือขนาดเท่าใบลานลงมาหมายจะบีบคอ ไม่ทันที่มืออันน่าเกลียดจะตรงมาถึง ผมและพี่ชายก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ตัดสินใจทิ้งคบไฟวิ่งหนีทันที ส่วนผมวิ่งไม่ค่อยทันพี่ชายเท่าไหร่ เพราะมัวแต่หันกลับไปมองว่ามันตามมาหรือเปล่า

เป็นอย่างที่ผมคิด ชายร่างโย่งนั้นเดินตามมาติด ๆ ผมกับพี่ชายเร่งความเร็วที่ขาขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปหลายปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ช่วยด้วย ช่วยด้วยผีหลอก



คนแก่คนนั้นยืนจ้องหน้า


ไม่กี่อึดใจพี่ชายและผมมาถึงบ้าน กระโดดขึ้นบ้านโดยไม่ต้องใช้บันได เข้าห้องคลุมโปงนอนตัวสั่น แม่ผมได้ยินเสียงโครมครามจึงตื่นขึ้นมาถามว่า ทำอะไรกัน เสียงดังโครมคราม

ไม่ทันที่จะตอบ พวกก็ได้ยินเสียร้อง กริ๊ด กริ๊ด ปี๊บ ปี๊บ ดังขึ้นอย่างกังวาน เราสามคนแม่ลูกตัดสินใจเดินออกไปดูที่หน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าเป็นเสียงของ อะไรพอเปิดประตูบ้านออกไปผมตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง เมื่อภาพของคนแก่คนแก่คนนั้นยืนจ้องหน้ามายังพวกเราพร้องส่งเสียงกร้อง กริ๊ด

เห็นดังนั้น พวกเราสามแม่ลูกรีบปิดประตูทันที วิ่งเข้าบ้านกระโดดคว้าผ้าเอามาคลุมโปรงนอนฟังเสียงร้องของมันจนเช้า มีเสียงระฆังดังมาจากวัดที่อยู่ห่างจากบ้านไม่มาก เสียงหวีด ร้อง กรี๊ด ..กริ๊ด เงียบหายไป

แม่พาผมและพี่ชายไปที่วัด เล่าเรื่องเมื่อคืนให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อฟังจนก็บอกว่า สิ่งที่พวกโยมเห็นกันเมื่อคืนมันเป็นเปรต มันมาขอส่วนบุญเท่านั้น ไม่ได้มาทำร้ายโยมไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปตามที่หลวงพ่อบอกซะนะ มันจะได้ไม่มาอีก หลังจากทำบุญตักบาตรตามที่หลวงพ่อบอก ไอ้เปรตตัวนั้นก็ไม่มา ปรากฏตัวอีกเลย ส่วนผมกับพี่ชายยังคงวางเบ็ดตกปลาเหมือนเช่นเคย



แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องสยองขวัญ


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์