ท้าทาย - คืนสยอง

จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ระทึกขวัญ ที่เราทั้ง 3 จะไม่มีวันลืมเลือนไปจนชั่วชีวิต..


คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในคืนหนึ่ง ช่วงประมาณปี พ.ศ.2535
ผมและเพื่อนๆ ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรม ในสถาบันมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
ซึ่งโดยปกติแล้วกลุ่มของผมจะมีกันอยู่ 5 คน ที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ
โดยเฉพาะในวลากลางคืน พวกเรามักจะออกไปขับรถเล่นในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน
คืนนี้ก็เช่นกันเรา 3 คน (อีก 2 คนโชคดีที่ไม่ว่าง) ออกไปขับรถโดยขับไปเรื่อยๆ
ไม่มีจุดหมาย พบเจออะไรน่าสนใจก็แวะ และคืนนี้ เส้นทางก็พาเรามายัง
ถนนสาธร

เวลานั้นประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ เกือบตีหนึ่ง เห็นจะได้ แต่เราก็ยังไม่มีทีท่าว่า
จะอยากกลับบ้าน และแล้วก็มีความคิดประหลาดของใครผมจำไม่ได้
แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ผม ชักชวนให้ไปดูป่าช้าวัดดอนกัน
ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในเรื่องตำนานผีดุไม่ใช่น้อย โดยที่เราก็ 3 คน
ก็มีมติเอกฉันท์ ว่าจะไป......... และนี่คือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ระทึกขวัญ
ที่เราทั้ง 3 จะไม่มีวันลืมเลือนไปจนชั่วชีวิต................



"เอาไงวะ?".........ผมถามอย่างลังเล ก่อนพบเหตุการณ์สยองขวัญ


ในคืนนั้น หน้าที่ขับรถตกเป็นของผม รถเปอร์โยต์ 505 เก่าๆ สีเขียวหยก คือพาหนะที่จะนำพวกเรา
ไปพบกับเหตุการณ์สยองขวัญ
หลังจากที่ตกลงได้สถานที่ไปกันแล้ว
ผมก็ขับรถเข้าไปยัง ซอยเซนหลุยส์3
ขับเข้ามาตามทาง....แสงไฟที่สว่างไสวจากถนนสาธร
เริ่มมืดลงๆ ทุกทีๆ... เสียงอึกทึกครึกโครมของรถรา
เริ่มจางลง บรรยากาศของความสงบ เงียบ
และวังเวงเริ่มเข้ามาแทนที่
เราเริ่มโหมโรงคุยกันเรื่องผีๆ อย่างคะนองปาก
ในช่วงระหว่างทาง...และแล้วเราก็มาถึงจุดที่ถนน
ไม่มีแม้กระทั่งแสงจากหลอดไฟฟ้าสักหลอด
ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ในใจกลางมหานครกรุงเทพ
ยังมีจุดที่พวกเราไม่เห็นแสงไฟฟ้าเหลืออยู่อีก



ไม่เห็นแม้กระทั่งแสงไฟจากตึกสูงระฟ้าใกล้เคียง
เนื่องจากมีต้นไม้ปกคลุมเส้นทางอยู่เป็นระยะๆ
รถขับมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ จนพบป้ายเก่าๆ ผุๆ เขียนไว้ว่า
"สุสานศพไร้ญาติ" ถึงตรงนี้ผมซึ่งเป็นคนขับรถเริ่มลังเล
คำพูดเรื่องผีที่คะนองปากจากเราทั้ง 3 คนก่อนหน้านี้หมดไป
กลายมาเป็นความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศที่มืดมิด
ได้ยินเบาๆเพียงเสียงของเครื่องยนต์กับเสียงลม
จากช่องระบายอากาศเท่านั้น เวลาตอนนั้นตีหนึ่งแล้ว
ผมเริ่มถามมติอีกครั้ง
"เอาไงวะ?".........ผมถามอย่างลังเล




"มาถึงนี่แล้วมึงจะถามทำไม
เข้าไปดูซิว่าผีมันหน้าตาเป็นไง".......
ไอ้พิท หรือ "พิทยา"...
เพื่อนซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางเบาะหลังเพียงคนเดีย
วยื่นหน้ามาพูดกระทุ้งให้ผมเลี้ยวรถเข้าไป
"เอาไงวะ?...ไอ้โชค ".........ผมถาม
"ศุภโชค" เพื่อนอีกคนซึ่งปกติ
จะไม่หือไม่อือกับสิ่งใดๆ
ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือความเงียบเช่นเคย
ทำให้ผมต้องติดสินใจเลี้ยวรถเข้าไป
โดยไม่มีทางเลือก ซึ่ง
การตัดสินใจในครั้งนี้จัดว่า
ผิดพลาดที่สุดในชีวิต.................







ทางเข้าสุสานเป็นทางลูกรังสั้นๆ แต่โค้งเป็นรูปตัว "U" จนมองไม่เห็นทางเข้า


ซึ่งตลอดระยะทางสั้นๆ จะปกคลุมด้วยต้นไม้หนาทึบ
ไม่เห็นแสงสว่างแต่อย่างใดนอกจากไฟหน้ารถ และแล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ที่ทำให้ผมต้องขนลุกก็คือ ป้ายปูนซึ่งเป็นหลักบอกตำแหน่ง
การฝังร่างไร้วิญญาณและไร้ญาติ อยู่เต็มแทบจะทุกพื้นที่ มีจำนวนเป็นร้อยๆป้าย
ผมตัดสินใจหยุดรถเพราะเริ่มใจไม่ดี หันมาพูดกับไอ้พิทอีกครั้ง


"กูว่ากลับเหอะ...ชักไงๆแล้วว่ะ"
ไอ้โชค ผงกหัวหงึกๆ เห็นด้วยกับผม

"มึงจะรีบกลับไปไหน ยังไม่เห็น
หน้าผีเลยกูบอกมึงแล้วว่าจะมาดูว่า
ผีมันหน้าตาเป็นไง"
ไอ้พิท ยืนยันและคงความปากเสีย
ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ......
ขาดคำจากคำพูดเลวๆของเพื่อน
รถเจ้ากรรมของผมเกิดดับขึ้นมาเฉยๆ
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่มันเป็นอย่างนี้
แต่คืนนี้การดับแบบไม่รู้กาละเทศะของมัน
ทำให้ผมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
และจำเป็นต้องปิดไฟหน้ารถเนื่องจาก
รถผมมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้าหลายอย่าง
ขืนหากเปิดไฟไว้นานๆ จะพาลให้แบตหมด
ทีนี้หล่ะก็ได้นอนนี่แน่ๆ





เสียดายว่ะ กูอยากเห็นชัดๆ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า


สถานการณ์เลวร้ายลงยิ่งขึ้นเมื่อผมดับไฟหน้ารถ
หลังจากที่สายตาเริ่มปรับให้ชินกับแสงเพียงเล็กน้อย
จากดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่คืนนี้
"พระจันทร์เต็มดวง" บรรยากาศและเหตุการณ์ต่างๆช่างเป็นใจ
และเหมาะเจาะ กับการที่จะเจอผีจริงๆ แต่ด้วยความที่เรียนด้าน
วิทยาศาสตร์มาตลอด ทำให้ใจหนึ่งผมก็ยังคิดว่า "ผี" ไม่น่ามีจริงในโลก
แต่ความคิดนี้ก็ไม่สามารถระงับความหวาดกลัวที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ
สายตาก็มองกวาดออกไปข้างนอกมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง
อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นผมเห็น
"ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตลายปล่อยชายเสื้อ เดินในลักษณะลอยๆ"
และเดินผ่านสิ่งกีดขวางได้โดยไม่ต้องยกขาข้าม เดินผ่านมาทางข้างรถ
ฝั่งคนขับ ห่างผมไปประมาณ 15-20 เมตร ผมตกใจสุดขีด
หันหน้าไปร้องเรียกให้เพื่อนทั้งสองช่วยดู แต่พอหันกลับมา
ชายเสื้อลายได้หายไปแล้ว เพื่อนๆจึงสรุปกันว่าผมกลัวจนตาฝาดคิดไปเอง..


"เสียดายว่ะ
กูยังไม่เห็นเดี๋ยวถ้ามึงเห็นอีก
กวักมือเรียกมันมาทางนี้หน่อย
กูอยากเห็นชัดๆ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

ไอ้พิทมันยังทำเป็นหัวเราะ
ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่ามันก็กลัวไม่ต่างจากผม
แต่ผมกับไอ้โชคไม่ขำด้วยและยิ่งทวีความกลัวมากขึ้น
เพราะความปากหมาลบหลู่สิ่งลี้ลับของเพื่อน

"มึงเงียบๆไปเลย" ไอ้โชคพึมพัม





ผมทำอะไรไม่ถูกกลัวสุดขีด แต่ไม่กล้าวิ่งหนีออกจากรถ ได้แต่เหยียบคันเร่ง


ในขณะนั้นเองผมก็ยังมองหาผู้ชายเสื้อลายโดยไม่เชื่อว่าตัวเองตาฝาด
โดยมีไอ้โชค ช่วยมองหาอีกคน แต่ไม่พบ สมควรแก่เวลาผมลองสตาร์ทเครื่องดู
ปรากฏว่าติด..ทุกคนดีใจ ผมก็ไม่รอช้า รีบขับหาที่กลับรถภายในสุสาน
ตั้งใจจะรีบออกไปให้เร็วที่สุด.......
จนกระทั่ง.....จนกระทั่ง..สายตาผมเหลือบไปเห็นภาพสิ่งที่ผมเคยมองหาอยู่
เมื่อสักครู่จากกระจกมองหลัง "เขาอยู่ในรถเรานี่เอง!!!


" ผมมองเห็นหน้าเขาได้ชัด เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 ปี
ผมสั้นใบหน้าเหมือนมีร่องรอยคล้ายเพิ่งผ่านการต่อสู้มา นั่งอยู่เบาะหลัง
ฝั่งคนขับ ข้างๆ ไอ้พิทนี่เอง แต่ไอ้พิทมันนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า
หลังไม่พิงเบาะ มันจึงไม่สังเกตุเห็นว่ามีใครมานั่งเป็นเพื่อนมันอยู่ข้างๆ
ชายเสื้อลายนั่งอยู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย หลังพิงเบาะ และสบตาผมผ่านกระจก
ผมทำอะไรไม่ถูกกลัวสุดขีด แต่ไม่กล้าวิ่งหนีออกจากรถ ได้แต่เหยียบคันเร่ง
และพูดอย่างลนลาน ตะกุกตะกัก ให้เพื่อนๆได้รู้ตัว
ทุกคนตกใจแต่ทุกคนก็ไม่ได้พบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยุ่างที่ผมเห็น
ผมยังเหยียบคันเร่งมิด จนใกล้ถึงทางออก ถึงตอนนี้ทุกคนจึงได้เห็นเขา
มายืนส่งเราที่ปากทางและ ทุกคนก็ต้องขนหัวลุกเมื่อพบว่าเขาไม่มีปลายเท้า !!
และยืนในลักษณะลอยจริงๆ ผมจึงรีบขับผ่านเขาไปอย่างเร็ว........
และกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ในคราวนั้นทำให้ผมไม่ค่อยกล้ามองกระจกหลังในการขับรถเวลาดึกๆ
และกลัวทุกครั้งที่ขับรถผ่านใครก็ตามที่ใส่เสื้อลาย และยืนอยู่ข้างทาง ...





ท้าทาย - คืนสยอง

พวกคุณเองก็ระวังให้ดี ขับรถดึกๆ อาจมีเพื่อนใหม่นั่งอยู่ด้านหลัง หรือมายืนส่งคุณอยู่หน้าบ้าน ขอให้ระมัดระวังตัวและรู้จักสังเกตุสิ่งรอบๆตัวด้วย..............



เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์