พระธรณี แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา ถือเป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ที่ปรากฏในหลายตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือแม้กระทั่งพุทธศาสนา
ตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู พวกเขาจะให้ความเคารพแผ่นดินซึ่งเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกมนุษย์ แผ่นดินจึงเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง และได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพสตรีจากธรรมชาติ โดยมีนามว่า “ธรณิธริตริ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ค้ำจุนพระธรณี”
แม้พระธรณีจะไม่ค่อยมีรูปเคารพอย่างเช่นเทพองค์อื่น แต่ก็เป็นเทพเจ้าที่มีผู้ให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากมาย เนื่องจากพระธรณีเป็นเทพที่สถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยส่วนใหญจะทำการบูชาพระธรณีด้วยการวางข้าว ผลไม้ และนมไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน หรือบางแห่งอาจใช้เหล้าเป็นเครื่องสังเวยก็มี นอกจากนี้ ในทุกเช้าชาวฮินดูจะต้องทำการขอขมาพื้นดินโดยการวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นยืน ส่วนวัวหรือควายที่ออกลูก ก็จะต้องปล่อยน้ำนมแม่วัวลงบนพื้นดินก่อนให้ลูกดื่มกินในครั้งแรกด้วย ในขณะที่ พวกชาวนาก็จะมีการขอให้พระธรณีคุ้มครองผืนนาและวัวควายของตน ส่วนในพระเวทก็มีการร้องขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองวิญญาณของคนตาย มีความเชื่อที่เล่าขานมาจากแคว้นปัญจาบว่า พระธรณีจะต้องนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ในทุกเดือน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ชาวไร่ชาวนาจะหยุดทำงานในระยะเวลานี้ด้วย
หากพูดถึงตำนานที่เล่าถึงความเป็นมาของพระธรณี หรือ เทพแห่งแผ่นดิน อาจไม่ค่อยพบมีเรื่องราวปรากฏเหมือนดังเช่นเทพองค์อื่น หรือถ้ามีมีก็เป็นเรื่องราวที่ไม่ชัดเจน เช่น บางแห่งกล่าวว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่ง ชื่อว่า พระอังคาร หรือบางแห่งก็ว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี ส่วนในคติพราหมณ์พบเพียงว่า พระธรณีเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
ในด้านของพุทธศาสนา พระแม่ธรณีเข้ามามีบทบาทโดยปรากฏกายขึ้นมาบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามาร ที่เข้ามาขีดขวางการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามรายละเอียดที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้พระนิพนธ์ไว้ว่า
“แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้ ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง
ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง
ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ”