ทำกรรมอะไรถึงเกิดเป็นผีบังบด หลวงพ่อเกษม เผย!เมืองบังบดมีจริง!
รายแรกเป็นเรื่องราวของลุงเสา ธิดารัตน์ ชาวบ้าน อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ถูกหญิงวัยกลางคนว่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 300 บาท ให้มารับข้าวสาร 3 เกวียน โดยบอกจุดหมายปลายทางว่า ที่บ้าน "นาคำแคน" ซึ่งห่างจากหมู่บ้านตน 30 กม.
ลุงเสาจึงขับรถออกจากหมู่บ้าน ด้วยรถกะบะทะเบียน 6513
แต่ไม่ใช่ 30 กม. อย่างที่คาด รู้ตัวอีกทีก็เวลาตี 5 พบเห็นหมู่บ้านและถนนลาดยาง จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นรู้สึกตัวอีกที ฟ้าสว่างหมู่บ้านและถนนลาดยางก็หายไป และลุงเสาก็ยืนอยู่กลางป่าสวนยาง แถมผู้ใหญ่บ้านบริเวณนั้นยังบอกว่า หมู่บ้านดังกล่าว ไม่มีอยู่ในแผนที่ สร้างความมึนงงกับลุงเสา ว่าเดินทางมาได้อย่างไร จนชาวบ้านมาพบเห็นเข้าจึงมีการนิมนต์พระมาที่จุดเกิดเหตุ เพื่อทำพิธีสะเดาะเคราะห์
นอกจากนี้ อีกข่าวหนึ่งยังมีกรณีโดนผีหลอกให้ไปส่งที่สำนักสงฆ์ร้าง ตามข่าวในสื่อออนไลน์บอกว่า
มีผีว่าจ้างคนขับรถตู้ไปส่งในวัดร้าง ในเขต ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม จนกลายเป็นข่าวลือสะพัดไปทั่ว
เจ้าของรถ คือ นายเด่นชัย จันทร์ไตรรัตน์ อายุ 43 ปี ชาว ต.นาหนาด อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ซึ่งเป็นเจ้าของรถตู้ที่มีข่าวลือว่า ถูกพระสงฆ์ กับญาติโยมหลายคน ให้ไปส่งปฏิบัติธรรมที่ อ.นาแกนายเด่นชัย มีอาชีพขับรถตู้รับจ้าง ขับรถออกจากเทศบาลตำบลนาหนาด มุ่งหน้าตามถนนนาหนาด ไปยัง อ.นาแก และเลี้ยวเข้าไปยังถนนในหมู่บ้าน ผ่านบ้านโพนดู่ มุ่งหน้าขึ้นไป ตามถนนหมู่บ้าน ไปยังอ่างเก็บน้ำนายาง ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยจะมีเส้นทางผ่านวัดร้าง ป่าช้าของหมู่บ้าน เส้นทางลำบากเป็นหลุมเป็นบ่อ ระยะทางไกลถึงจุดเกิดเหตุที่พบรถ เป็นเขื่อนกั้นน้ำอ่างนายาง รวมประมาณ 7 กิโลเมตร
ผู้ขับยืนยันว่า ระหว่างขับรถไม่ได้ดื่มสุรา หรือเสพสิ่งมึนเมาใดๆทั้งสิ้น ตลอดเส้นทางไม่ได้มีการพูดคุยกับใคร และไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ปกติตนชอบไปวัดทำบุญ และทำบุญส่งญาติโยม พระสงฆ์ ที่ชอบไปปฏิบัติธรรม มารู้ตัวตอนล้อหน้ารถตกขอบคลองระบายน้ำ บวกกับญาติพี่น้องได้ตามหา เพราะได้หายไปแต่ช่วงหัวค่ำ จนตามพบเวลาประมาณ 23.00 น. วันเดียวกัน
และหลังเกิดเรื่องแปลกขึ้นทางญาติพี่น้อง ได้นำพระมาสวดทำบุญบ้าน และรดน้ำมนต์ เจิมรถสะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ เพื่อให้เกิดโชคลาภ
จากข่าวดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านต่างลือกันเรื่องของผีบังบด ที่อยู่ภพภูมิอื่น ซึ่งเรามองไม่เห็น ทางทีมข่าว "ปัญญาญาณ ทีนิวส์" จึงขอย้อนเล่าเรื่องราวของ "เมืองบังบด" ให้ได้ฟังกัน โดยพระพันธกานต์ อภิปญโญ สำนักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ฟังมาจาก "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ซึ่งเล่าไว้ว่า
ชาวเมืองลับแลหรือบางทีภาษาท้องถิ่น เขาก็เรียกว่า "ผีบังบด" พวกนี้ก็เป็นชาวทิพย์กลุ่มหนึ่งเหมือนกันและสามารถรับบุญที่พวกมนุษย์อุทิศให้ได้เป็นอย่างดี ถ้าคับคล้ายคับคราว่าจะมีพวกเขาอยู่ที่แห่งใดหรือรับทราบสัญญาณกันได้ในทางใดทางหนึ่งก็อุทิศบุญเพื่อพวกเขาด้วย
เรื่องราวของพวกเขาเท่าที่ฟังจากหลวงพ่อเกษมเล่าให้ฟัง ก็เป็นชาวทิพย์ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะท่าทางการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนกันกับชาวโลกมนุษย์เราและอาศัยอยู่ในโลกด้วยกันกับพวกเรานี่แหละ เพียงแต่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง การดำเนินชีวิตของพวกเขาก็คล้ายๆกับมนุษย์เรานี่แหละ มีทั้งการทำไร่ไถนาทำการเกษตร ทำงานหัตถกรรม ทำการเลี้ยงสัตว์ แต่ว่าอาการที่พวกเขาทำก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ทำไปเพราะแรงแห่งกรรม ทำอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้ผลผลิตอะไรจากการกระทำ เช่น เลี้ยงวัวก็เลี้ยงอยู่อย่างนั้นแหละ เลี้ยงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมหมดกรรมเมื่อไหร่ก็ได้เลิกเลี้ยงวัว และวัวนั้นก็เป็นคนที่ตายแล้วไปเกิดเป็นผีวัวให้ได้เลี้ยงเพราะแรงแห่งบาปกรรมเหมือนกันคือชีวิตความเป็นอยู่ในโลกของพวกเขามันไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลง คืออยู่กันอย่างนั้นแหละ ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่านั้นและไม่ได้เลวลงไปกว่านั้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ยังดีกว่าเปรตและอสุรกาย แต่ก็ไม่ดีเท่ากับพวกเทวดาที่สถิตตามต้นไม้
กรรมอันใดเหรอ?ก็เป็นบาปกรรมแต่บาปไม่หนักมากพอที่จะทำให้เกิดในนรก - เปรต - อสุกาย และก็พอมีบุญอยู่บ้างจึงส่งผลให้ไปเกิดในที่ที่เรียกกันว่าเมืองลับแล ซึ่งมีเรื่องในพระไตรปิฎกอยู่เหมือนกัน คือ ชาวทิพย์เขามารักสาวชาวมนุษย์แล้วก็เลยเอาสาวชาวมนุษย์นั้นไปอยู่ในภูมิของพวกเขา สาวชาวมนุษย์นั้นไปอยู่ที่เมืองของเขาก็เข้าใจว่าผ่านไป 7 ปี แต่ถ้านับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไปถึง 700 ปี
นอกจากที่หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้เมตตาเล่าให้ฟังแล้ว ยังมีชื่อเมือง "ลับแล" ซึ่งเป็นชื่ออำเภอในจังหวัดอุตรดิตถ์ มีตำนานพื้นเมืองเล่าว่า
ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมืองด้วยความ สงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบเพราะชายหนุ่ม แอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลก เปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม
นางจึงพา ชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่า คนในหมู่บ้านนี้ ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชาย ส่วนมากมักไม่รักษา วาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง
ชายหนุ่ม เกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอมแต่ให้ชายหนุ่มสัญญา ว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด
ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้ว ๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้ สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก
จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้ว นางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดิน ทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้น เรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด
ครั้นเดิน ทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิมบรรดาญาติมิตรต่างก็ ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานานชาย หนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้ง แท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทองแต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม
ขอบคุณ tnews.co.th