ห้องสนิม – คุณแป้ง
พอวันรุ่งขึ้นพี่จิราก็ได้จ้างรถกระบะของโรงแรมมาคันนึง โดยในกลุ่มก็คุยกันว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ 2 จุดใหญ่ๆ ที่แรกคืออำเภอที่ติดกับชายแดนที่ติดกับตลาดโรงเกลือ อีกที่นึงคืออำเภอใกล้ๆกัน แล้วก็วางแผนกันว่าจะไปที่อำเภอที่ไม่ใช่อำเภอที่ติดชายแดนก่อน แล้ววันท้ายๆค่อยไปที่อำเภอที่ติดชายแดน เพื่อวันท้ายๆจะได้ซื้อของกลับบ้านด้วย จุดแรกที่ลงสำรวจก็คือที่วัดแห่งนึงในอำเภอนี้ ตอนที่ไปเขาก็มีงานบุญกันพอดี พวกพี่จิราก็เข้าไปไหว้พระแล้วก็ไปเก็บข้อมูลกันประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะไปเก็บข้อมูลตามบ้าน ทีนี้คนในกลุ่มก็ไปบอกลุงคนขับรถว่า ลุง เดี๋ยวพวกเราจะไปเก็บข้อมูลตรงหมู่บ้าน ตรงบ้านข้างหน้า จะไปเก็บข้อมูลกันซัก 2-3 ชั่วโมงนะ ให้ลุงกลับไปก่อนพอ 4 โมงเย็นลุงค่อยกลับมารับพวกเรา ที่ตรงหมู่บ้านนี้ ที่ต้องนัดเวลากันแบบนี้ เพราะในสมัยก่อนมันไม่ได้มีมือถือกันทุกคนแบบสมัยนี้ ก็เลยต้องบอกเวลาและสถานที่ที่แน่นอน พอนัดกันเรียบร้อยก็แยกย้าย
แล้วกลุ่มพี่จิราก็เดินจากวัดข้ามถนนมาที่หมู่บ้าน ในหมู่บ้านที่เข้าไปจะเป็นชุมชนบนพื้นที่ขนาดใหญ่ เข้าไปจะเห็นเป็นที่ทำการของผู้ใหญ่บ้าน ถัดไปอีกซัก 3-4 หลัง ก็จะเป็นชุมชนที่ทำพวกผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน พวกงานหัตถกรรม ข้างบ้านผู้ใหญ่ 2-3 หลังก็จะเป็นหัตถกรรมจักรสาน เช่น ทำเสื่อ ไม้กวาด ถัดไปก็จะเป็นบ้านที่ตีเหล็ก และก็เป็นบ้านช่างไม้ พอพี่จิราเห็นแบบนี้ก็คิดว่านี่เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีเลย ไม่ต้องไปที่ไหนละ แล้วทันทีที่พวกพี่จิราเข้าไปในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็มาต้อนรับอย่างดี ทางกลุ่มพี่จิราก็ขออนุญาตขอข้อมูลกันอย่างจัดเต็ม คนก็ดี พื้นที่ก็ดี ก็เก็บข้อมูลกันสนุกสนาน
พอถึงตอนเที่ยงผู้ใหญ่บ้านก็เรียกกลุ่มพี่จิราไปทานข้าว แล้วกับข้าวที่เขาทำคือ ต้มขาหมูพะโล้หม้อใหญ่ๆ ทีนี้กลุ่มพี่จิราก็ตั้งวงกันอยู่ตรงชานบ้าน พวกผู้ใหญ่บ้านก็เรียกชาวบ้านระแวกนั้นมาเอากับข้าวไปกินกัน ขณะที่กำลังกินกันเพลินๆ ก็มีผู้ชายอยู่คนนึงตัวสูง ผมกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เดินดุ่มๆเข้ามาในหมู่บ้าน พอเข้ามาก็เดินมานั่งตรงบันไดบ้านที่ทอเสื่อ พี่จิราก็เห็นว่ามีซากกบโดนรถทับตายอยู่ในมือ ทีนี้ผู้ใหญ่บ้านก็เหมือนว่าจับอาการเด็กๆได้ว่า กำลังสนใจมองไปที่ผุ้ชายคนนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็พูดปนขำๆว่า ไอนี่มันชื่อ ไอเมืองมล ไอเมืองมลคนผีบ้า มันเคยเป็นลูกชายของหมอขวัญแถววัดใกล้ๆเนี่ย แต่ก่อนนี้มันก็ดีๆอยู่อ่ะแหละ หน้าตาออกจะหล่อ แล้วมันเนี่ยเป็นนักเลงกลอน และมันก็ไปชอบคออยู่กับอีนางโนรี นางโนรีเนี่ยเป็นลูกสาวของป้าคล้าย ก็คือคนทำเสื่อที่มันนั่งอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ตอนนั้นไอเมืองมลมันก็มาติดตาต้องใจกับอีนางโนรีเนี่ย สุดท้ายมันก็อกหัก เพราะว่า เมื่อ 20 กว่าปีก่อนเนี่ย ก็มีนายหน้าค้าที่ดินชื่อ เสี่ยสิทธิ์ เขามาซื้อขายที่ดินกันอยู่แถวๆนี้ และบังเอิญว่าเขามาชอบ นางโนรี สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการพานางโนรีหอบผ้าหอบของไปอยู่ด้วย แล้วนางโนรีก็เล่นด้วย มันก็ไปเป็นคุณนายสบายไปละ ไอเมืองมลมันคงเฮิร์ทเสียอกเสียใจหนัก ก็เลยเพี้ยนๆเป็นบ้าเป็นบอไป
หลังจากนั้น พี่นุชก็พูดขึ้นมาว่า แหมมม ทำผู้ชายอกหัก เสียผู้เสียคนขนาดนี้ สงสัยจะสวยน่าดูนะแม่โนรีคนนี้ พอพูดได้ไม่ทันขาดคำ เมียผู้ใหญ่ก็พูดสอดขึ้นมาเลยว่า โอ้ยย มันหนะหน้าตาพิลึก หน้าตามันแปลกกว่าชาวบ้าน ตัวมันสูง แขนขายาว ผมมันแดงตามันเหลืองๆ ผิวซีดๆ มีกระเต็มหน้า พอพี่จิราได้ฟังก็คิดว่า นี่มันรูปร่างฝรั่งหนิ พี่จิราก็เลยถามกลับไปว่า เขาเป็นลูกฝรั่งหรอคะ เมียผู้ใหญ่ก็บอกว่า อีโนรีเป็นลูกของยายคล้าย ยายคล้ายย้ายมาจากสัตหีบได้ 40 กว่าปีแล้ว ตอนมาที่เนี่ยก็อุ้มท้องนางโนรีมาแล้ว ตอนแรกบ้านยายคล้ายมีตาพุ่มอยู่ ตาพุ่มคือพ่อของยายคล้าย อยู่ไปได้ซักพัก นางโนรีก็อยู่ได้ไม่ถึงปีตาพุ่มก็ตาย ยายคล้ายก็อยู่เลี้ยงลูกมา 2 คน หาของป่าขายตามสภาพ จนอีนางโนรีได้เสี่ยเป็นผัวถึงได้มีเงินปลูกบ้านใหม่ มีเครื่องมือจักรสานทำขาย พอฟังๆเมียผู้ใหญ่บ้านพูด พี่จิราก็เห็นว่ามีวัยรุ่นที่บ้านตีเหล็กตักเอาต้มขาหมูพะโล้ใส่ชามเดินเอาไปให้กับตาเมืองมล พอตาเมืองมลเห็นชามขาหมู อยู่ดีๆเขาก็ร้องแบบบ้าคลั่งขึ้นมาเลย แล้วก็ปัดจานหกเลอะเทอะแล้วก็วิ่งหนีไปในห้องห้องนึง ซึ่งเป็นห้องที่เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ทีนี้พวกผู้ชายก็วิ่งตามจะไปจับเพราะกลัวทำร้ายคน แล้วพี่วิรุณก็วิ่งไปช่วยจับด้วย
พอไปถึงพี่วิรุณก็เห็นว่าตาคนบ้าคนนั้นเข้าไปนั่งร้องไห้อยู่ที่่ห้องห้องนั้น แล้วพี่วิรุณก็เล่าว่าห้องๆนี้มันคล้ายๆกับตู้คอนเทนเนอร์ เป็นห้องสีเหลี่ยมยาวๆ มองจากภายนอกก็คือเอาแผ่นเหล็กใหญ่ๆ มาก่อครอบพื้นดินทำเป็นห้องโดยที่ห้องไม่ได้เทพื้นปูน เหมือนว่าครอบกับดินไปเลย แล้วเหล็กที่หุ้มนั้นดูเก่ามาก เก่าจนเป็นสนิมไปทั้งแผ่นเลย ข้างในก็จะมีเครื่องมือก่อสร้างต่างๆกองไว้ และเครื่องมือในนั้นเป็นเหล็กทั้งหมด ไม่เครื่องมือที่เป็นไม้เลย แล้วตรงกลางก็มีการก่อปูนยกพื้นขึ้นมาสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วก็มีพวกมีด ดาบ กริดของมีคมที่เป็นอาวุธ วางไขว้กันบนแท่นปูนเป็นรูปกากบาท ในตอนนั้นพี่วิรุณได้ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เห็นมันแปลก คิดว่าเป็นห้องธรรมดา พอสถานการณ์สงบลงก็เดินออกมาปล่อยตาบ้านั่งร้องไห้อยู่ตามลำพังในห้องนั้น
พอถึงเวลา 4 โมงเย็นกลุ่มพี่จิราก็รอรถเตรียมตัวจะกลับ แต่รอไปรอมา รอเกือบ 3 ชั่วโมงละ รถก็ยังไม่มา ผู้ใหญ่บ้านก็บอกเดี๋ยวให้ยืมโทรศัพท์ พี่วิรุณก็ขึ้นบ้านไปหมุนโทรศัพท์โทรไปที่โรงแรม ปรากฏว่ารถของลุงที่มาส่งหนะมันเสีย ต้องใช้เวลาซ่อมนานพอสมควรเดี๋ยวจะให้รถอีกคันนึงไปรับโอเคมั๊ย แต่ว่ายังไม่ทันที่พี่วิรุณจะตกลงกับทางโรงแรม ผู้ใหญ่ก็สะกิดกับทางสาวๆและบอกว่า ค้างที่นี่ซักคืนก็ได้ นี่มันก็เย็นแล้ว จากที่นี่จนถึงตัวเมืองมันไกลนะ แล้วนั่งรถกลางคืนมันก็อันตราย ที่นี่ห้องน้ำห้องท่ามีสะดวกสบายแล้วกลางคืนก็มีกินเลี้ยงด้วย ไม่เงียบเหงา พอกลุ่มพี่จิราได้ฟัง ก็รู้สึกสนใจ อยากลองบรรยากาศชนบทซักคืน แถมเจ้าบ้านก็ใจดี ก็เลยตกลงไม่รอรถละ แล้วพี่จิราก็บอกกับพี่วิรุณให้บอกกับทางโรงแรมไปว่าให้มารับพรุ่งนี้เช้าเลย พอตกลงว่าจะค้างที่นี้ก็ขึ้นไปล้างมือล้างหน้า
ตอนช่วงหัวค่ำก็มีชาวบ้านมาปิ้งมาย่าง มากินดื่มที่บ้านผู้ใหญ่ กลุ่มพี่จิราก็รู้สึกสนุกสนาน กินกันไปเรื่อยๆ จนถึง 3 ทุ่ม ชาวบ้านก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่เมียของผู้ใหญ่จัดห้องให้นอนรวมกัน ที่นอนหมอนมุ้งพร้อม ในสมัยนั้นตอนกลางคืนมันก็จะเงียบมากระหว่างที่นอนอยู่ พี่จิราก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเอาอะไรซักอย่างทุบกับปูน ดังมาจากนอกบ้าน ได้ยินอยู่นาน จนพี่จิราเผลอหลับไป แล้วก็มาตื่นอีกทีกลางดึกเพราะปวดฉี่ อยากจะเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นพี่จิราก็ลำบากใจมากเพราะห้องน้ำมันอยู่นอกตัวบ้าน ข้างนอกก็ทั้งมืดและหนาวด้วย ก็ไม่อยากที่จะไปคนเดียว พี่จิราก็เลยสะกิดพี่นุชที่อยู่ใกล้ๆ ให้ไปห้องน้ำด้วยกัน ตอนนั้นเสียงที่มีคนเอาอะไรเคาะปูนอยู่ก็ยังมีอยู่ ตอนลงไปพี่จิราก็ถือตะเกียงเดินไปเข้าห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำเสร็จเดินออกมา ซึ่งถ้าออกจากห้องน้ำก็จะต้องเห็นห้องสนิมห้องนั้น จังหวะที่มองไปที่ห้องสนิม พี่จิรากับพี่นุชก็มองเห็นใบหน้าคนขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าคนปกติ 3-4 เท่า มันยื่นของออกมาจากผนังห้องสนิม ใบหน้านั้นมันเป็นพื้นผิวเดียวกับแผ่นสนิม ขณะที่พี่จิรากำลังช็อคอยู่ ตาบ้าคนนั้นก็วิ่งหัวเราะออกมาจากห้องสนิม เหมือนสะใจอะไรซักอย่าง วิ่งออกไปทางถนนใหญ่ แล้วก็หายไปในความมืด
จังหวะนั้นทั้ง 2 คนก็ก้าวขาไม่ออก จะวิ่งก็วิ่งไม่ได้ จะกรี๊ดเสียงก็ไม่ออก ตอนนั้นพี่นุชสลบลงไปเลย มีแต่พี่จิราก็กรี๊ดๆๆ แต่ไม่มีเสียง จนเฮือกสุดท้ายพี่จิราก็กรี๊ดออกมาเสียงออกจากลำคอ ซักพักพวกเพื่อนๆและผู้ใหญ่บ้านก็เปิดไฟออกมาดู ก็เห็น 2 สาวช็อคกันอยู่ ก็พาขึ้นบ้านปฐมพยาบาลพี่นุชที่สลบอยู่ ตอนนั้นพี่จิราก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ มันสั่นไปทั้งตัว เพื่อนๆก็ช่วยปฐมพยาบาลพี่นุช จนพี่นุชดีขึ้น แต่ว่าเพื่อนก็ให้นุชนอนไปเลย ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านคนอื่นๆที่อยู่ระแวกนั้นมาดู พี่จิราก็เลยเล่าสิ่งที่เห็นให้พวกผู้ใหญ่ฟัง ว่าเห็นอะไรบ้าง ในทันทีที่เล่าจบ พวกผู้ใหญ่บ้านหน้าถอดสีเลย มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา จนมึงลุงคนนึงพูดแทรกขึ้นมาว่า ก็ไอเมืองมลมันเลี้ยงผี มันอกหักจากอีโนรีไง มันเลยไปฝักใฝ่พวกเดียรัจฉานวิชา มันคงหวังลมๆแล้งๆมั๊งว่าอีโนรีจะกลับมาหามัน ของเลยเข้าตัวมัน มันเลยเป็นบ้า ตอนที่พี่จิราฟังลุงคนนั้นพูด เหมือนว่าลุงคนนั้นพูดเป็นเรื่องสนุกไปเลย แล้วลุงก็พูดต่อว่า ทุกวันนี้นะ มันเอาซากกบตายหนูตายเอาเข้าไปกินในห้องสนิมนั้นแหละ ของดีๆของอร่อยเท่าไรให้ไปมันก็ไม่กิน ทีนี้ผู้ใหญ่บ้านก็เหลือบตามองเหมือนว่าจะให้ลุงคนนั้นหยุดพูด แล้วผู้ใหญ่บ้านก็พูดว่า จะไปห้ามมันก็ไม่ได้อ่ะหนู มันไปๆมาๆหนีไวเหมือนลิง แล้วมันก็ชอบมาทำพิธีอะไรของมันทุกๆคืน ปกติคนที่นี่ไม่เคยเจออะไรเลยนะ แต่พวกหนุคงจิตอ่อนและเป็นคนแปลกที่ก็เลยเจอ งั้นก็พักกันเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ก็จุดไฟนอน แล้วพรุ่งนี้จะว่ายังไงค่อยว่ากัน
ตอนนั้นต่างคนก็จิตใจไม่สงบกันละ ความสนุกที่มีทั้งวันมันหายไปหมดเลย อยากกับบ้านอย่างเดียวเลย แต่ด้วยวิชานั้นเป็นวิชาสำคัญมันมีผลต่อการจบ หากข้อมูลมันไม่ครบมันจะเสียหายและเสียเวลามาก ก็เลยต้องกัดฟันอยู่ที่สระแก้วเพื่อให้จบโปรเจคให้ได้กลุ่มพี่จิราก็พยายามข่มตานอน พอเช้ามา รถก็มารับ กลุ่มของพี่จิราก็นั่งรถกลับโรงแรม โดยที่พี่นุชจับไข้ไข้ขึ้นเลย อยู่ทำงานไม่ไหวแน่นอน พี่จิราก็เลยบอกให้นุชนอนอยู่โรงแรมเนี่ยแหละ แล้วเดี๋ยวให้ทิพย์อยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวเรากับวิรุณจะไปเก็บข้อมูลเอง ตอนนั้นพี่จิราสปิริตสุดๆทั้งที่เพิ่งเจอผีมาเอง แต่ด้วยความที่ว่าในกลุ่มแกค่อนข้างเก่งที่สุด ถ้าขาดแกไปการเก็บข้อมูลอาจจะไม่สมบูรณ์
หลังจากนั้นพี่จิราและพี่วิรุณก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนชุดเตรียมตัวลงพื้นที่ และนัดหมายรถให้มารับตอนเย็นเหมือนเดิม ซึ่งตอนแรกกะว่า จะไปสำรวจที่อื่นจะไม่เข้าหมู่บ้านนี้แล้ว แต่ก็มีเหตุที่อะไรก็ไม่เป็นใจซักอย่าง สุดท้ายก็ต้องไปที่หมู่บ้านเดิม กลับมาคราวนี้รู้สึกว่าทุกอย่างมันมืดหม่น ยิ่งห้องสนิมห้องนั้นยิ่งเข้าใกล้ยิ่งน่ากลัว และตอนที่เข้าไปนั้นก็ไม่เห็นตาคนบ้าแล้ว ไม่รู้ไปไหน ระหว่างที่พี่จิราทำางานไปก็ใจแป้วไป แต่ก็ยังดีที่มีพี่วิรุณมาเป็นเพื่อน เพราะพี่วิรุณนี่ใจคอเข้มแข็งและเป็นคนที่ชอบให้กำลังใจ พอช่วงเย็นๆ พี่จิราก็รู้สึกว่าข้อมูลที่ได้มันก็มากพอสมควรละ ก็เลยพากันรอรถ แต่เหมือนเดิมโทรไปโรงแรม โรงแรมก็บอกว่า รถติดนู่นติดนี่มาไม่ได้ ทีนี้พี่จิราก็โมโหแล้วก็บอกไปว่า คราวนี้ไม่รอเช้าแล้วนะ เสร็จเมื่อไหร่ให้รีบเอารถมาเลย พอวางสายปุ๊ป พี่จิราก็รวบรวมข้อมูล แยกข้อมูลฆ่าเวลาไป นั่งทำงานกันตรงชานละเบียงบ้านผู้ใหญ่
ทีนี้ระหว่างที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่ เสียงทุบปูนก็มาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงทุบที่หนักแน่นและแรง แถมมีเสียงทุบเหล็กด้วย เสียงดังสนั่น พี่จิราก็ตกใจเลยหันไปดู ก็เห็นเป็นตาคนบ้า เอาขวานสับไม้อันใหญ่มาก ทุบผนังห้องสนิมจนเหวอะ แล้วก็กระหน่ำฟันแท่งปูน ทีนี้พวกชาวบ้านก็กรูเข้ามากันอีกครั้งนึง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ เพราะในมือของคนบ้านมีขวานอยู่ ก็เลยได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ จนในที่สุดคนบ้าคนนี้ก็เอาขวานฟันแท่งปูนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วพี่จิราและพี่วิรุณก็ไปยืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุด้วย พี่จิราก็เห็นของบางอย่างถูกกระเทาะออกมาจากแท่นปูน สิ่งแรกที่พี่จิราเห็นคือกระดาษเก่าๆปลิวออกมาตรงเท้าพี่จิรา และอีกสิ่งนึงคือขมวดเส้นผมกลุ่มใหญ่ และเส้นผมกลุ่มนั้นเป็นสีแดง ในช่วงวินาทีนั้นคนบ้าคนนั้นก็เอามือกอบเส้นผมสีแดงไว้กับอกแล้วก็ร้องไห้แทบขาดใจและเป็นเวลาเดียวกับที่พี่จิราคลี่เอากระดาษแผ่นเล็กๆ ประมาณกระดาษโพสอิท พี่จิราก็เห็นเป็นกลอน ซึ่งพี่จิราจำได้ขึ้นใจเลย กลอนนั้นเขียนว่า "โนรีน้อยลอยลมชมแมกไม้ ยินเสียงคล้ายกังวานขับขานใส เพลงมนต์พี่ดั่งศรรักปักฤทัย ขอฝากฝังกายใจให้เมืองมล"
ในตอนนั้นพี่จิรารู้สึกอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้คิดยังไง หรืออะไรดลใจพี่จิรา พี่จิราค่อยๆย่อตัวลงข้างๆกับคนบ้าแล้วก็ยื่นกระดาษเล็กๆนั่นให้แก แต่มันก็แปลกพอที่ยื่นกระดาษให้สายตาที่คนบ้ามองมาที่พี่จิราเป็นสายตาที่เศร้าสร้อยมาก แล้วแกก็ค่อยยื่นมือของแกมารับกระดาษจากมือพี่จิรา ด้วยอาการที่สงบ ไม่มีอาการของคนบ้าเลย พอรับแล้วแกก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วก็วิ่งออกไปหายเข้าไปในป่าข้างทาง และท่ามกลางสายตาของผู้ใหญ่บ้านที่มองอยู่ แล้วพี่จิราก็มองไปที่คนที่เสื่อ ที่เป็นแม่ของคุณโนรี พี่จิราเห็นว่าสายตาของยายคนเนี้ยตาแกเหลือกโพรง
พอสถานการณ์สงบชาวบ้านก็แยกย้าย พี่จิรากับพี่วิรุณก็ต้องมารอที่บ้านของผู้ใหญ่จนค่ำ ในคืนนั้นไม่มีงานเลี้ยง ตอนทุ่มนึงทุกคนรีบเข้าบ้านจนผิดสังเกต พี่จิรากับพี่วิรุณก็เก็บสัมภาระกอดกระเป๋าคุยเล่นกันอยู่ในห้อง แต่ด้วยความเพลียเหนื่อยมาทั้งวัน ก็เลยนั่งหลับกันไปอีท่าไหนไม่รู้ มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนตี 1 พี่จิรารู้สึกว่ามีมือเย็นๆมาจับที่ปลายเท้า แล้วพี่จิราก็สะดุ้งตื่น มันก็มีแสงจากดวงจันทร์ส่องเข้ามา พี่จิราก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวคนนึงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามีผ้าคลุมศีรษะ ใบหน้าเห็นไม่ชุด เธอพูดกับพี่จิราเบาๆว่า รถมาแล้วจ้ะ รีบไปกันเถอะ ในวินาทีนั้นพี่จิราไม่มีความคิดใดอื่นเลย นอกจากว่าจะต้องทำตามที่ผู้หญิงคนนี้พูด พี่จิราก็เลยสะกิดพี่วิรุณให้ตื่นขึ้น พี่วิรุณก็เห็นผู้หญิงคนนั้น ทั้ง 2 ก็เลยหยิบของลุกขึ้นแล้วก็เดินตามผุ้หญิงคนนั้นออกจากห้อง ทั้ง 2 คนก็เดินตามออกไปอย่างเงียบที่สุด ค่อยๆลงบันได เดินออกจากบ้านผู้ใหญ่ เดินข้ามถนนไปที่วัด เข้าไปในวัด รูปร่างของผู้หญิงคนนั้นจะรูปร่างสูง ใส่เสื้อผ้าสีหม่นๆ เดินนำพวกพี่จิราโดยไม่หันมามอง พอไปในวัดพี่จิราก็เห็นรถกระบะจอดอยู่ โดยที่ลุงคนขับรถก็ชะเง้อมองอยู่
แล้วทีนี้ผู้หญิงคนนั้นก็หันหลังพูดกับพี่จิราอีกว่า ขึ้นรถไปได้แล้วจ้ะ รีบไปเลยนะเวลาเหลือไม่มากแล้ว พี่จิรากับพี่วิรุณก็รีบขึ้นรถเลย ลุงก็สตาร์ทรถเพื่อที่จะขับออกไป จังหวะที่รถกำลังเคลื่อน พี่จิราหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งนึง สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆปลดผ้าคลุมหัวออกสิ่งที่เห็นคือใบหน้าที่คมสวยมาก ภายใต้เส้นผมยาวสีแดง ซึ่งตอนนั้นพี่จิราน่าจะรู้ว่าใครเป็นคนนำทางมาขึ้นรถ พอรถขับออกไป ลุงคนขับก็ถามคำถามแรกว่า แท่นปูนแตกแล้วหรอ พี่จิราก็อึ้งแล้วก็ถามว่า ลุงรู้ได้ไงเนี่ย ลุงก็บอกว่าลุงอ่ะรู้มากกว่าที่พวกคุณรู้อีกเยอะ คุณรู้มั๊ย ข่าวคราวที่คนแถวนั้นบอกว่า แม่โนรีไปอยู่กับเสียหนะ โกหกทั้งเพ แม่โนรีไม่ได้ไปไหน แม่โนรีอยู่ในกำแพงห้องสนิมนั้นแหละ
พี่จิราก็ถามต่อว่าทำไมหละลุง ลุงก็เล่าต่อว่า ตอนนั้นลุงยังเด็กอยู่เลย ตอนนั้นลุงอายุ 12-13 ขวบ อยู่ที่บ้านตีเหล็กเป็นลูกมือเขา แม่โนรีเขารักกับพี่เมืองมล เขารักกันมาก เขารักกันจริงๆ พี่เมืองมลก็มาหา มาสอนแต่งกลอนจีบกันไปจีบกันมา รักกันมากถึงขนาดที่แม่โนรีไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีการศึกษา แต่พี่เมืองมลมาสอนจนแม่โนรีแต่งกลอนได้เก่งมาก จนกระทั่งมาเกิดเรื่องเพราะ เสี่ยสิทธ์ ที่มาซื้อขายที่ดินกับผู้ใหญ่ แล้วเกิดติดใจกับหน้าสวยๆของแม่โนรี เจอฝรั่งในสระแก้ว อารมณ์เหมือนเจอช้างเผือกในป่า แล้วแม่โนรีเป็นฝรั่งที่สวยมาก เสี่ยสิทธ์ก็เลยอยากได้มาเป็นเมีย แต่แม่โนรีไม่ยอม ก็เลยยื้อยุดฉุดกระชาก เสี่ยก็มีเงินมีปืน สุดท้ายเสี่ยสิทธ์ก็เอาปืนยิงเข้าที่ท้องแม่โนรีตายคาที่ ทีนี้พวกชาวบ้านก็กลัวเสี่ยสิทธิ์ เสี่ยก็เลยยัดเงินปิดปากทุกคน แล้วก็จะทำลายศพ ก็เลยจัดแม่โนรีถอดเสื้อผ้า ชำแหละเนื้อหนัง ต้มจนเปื่อย แล้วก็เอาเนื้อที่ต้มไปหลอมกับเหล็ก ก็ได้เหล็กแผ่นใหญ่มาแผ่นนึง แล้วก็เอาเสื้อผ้ากับกระดูกเผาไฟ เอาเส้นผมโบกปูนไว้กับลานหน้าบ้านของบ้านตีเหล็ก แล้วก็เอาแผ่นเหล็กนั้นมาสร้างเป็นกำแพงครอบผนังห้องนั้นไว้ แล้วก็เอาโลหะที่เป็นเหล็กมาสุมไว้ที่ห้องนั้น แล้วก็เอาอาวุธขลังๆ มาไขว้เป็นรูปกากบาทบนแท่นปูนเพื่อสะกดวิญญาณ และกระดาษที่เห็นน่าจะมากจากที่แม่โนรีเก็บกระดาษไว้ในมวยผม คือคนสมัยก่อนเวลาที่มีใครมาชอบมาจีบ แล้วมีของเล็กๆน้อยๆก็ชอบที่จะเก็บไว้ที่มวยผมแล้วเธอก็คงจะม้วนกลอนกระดาษแผ่นนั้นเก็บไว้ที่ผม ส่วนตาเมืองมลมาช่วยแฟนไม่ทัน แต่เห็นขั้นตอนการทำลายศพทุกขั้นตอน จะไม่บ้าได้ไง และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาเมืองมลถึงเกลียดต้มขาหมูพะโลชามนั้น
แล้วพี่วิรุณก็ถามลุงอีกว่า แล้วแม่เขาไม่ทำอะไรเลยหรอ แม่เขาก็ยังอยู่เนี่ย เขาไม่เสียใจไม่อะไรเลยหรอ ลุงก็บอกว่า แม่มันนั่นแหละ เป็นคนสับแขนสับขา เลาะหนังหัวด้วยมือตัวเอง เพราะว่า แม่มันไม่ได้รักลูกมันเลย ตอนอยู่แม่ก็คอยด่า รังเกียจ หาว่าเป็นเสนียดติดท้องมัน มันเลยชำแหละลูกมัน แล้วก็ได้เงินก้อนใหญ่จากเสี่ยมาปลูกบ้านใหม่ ลุงคนขับรถก็บอกอีกว่า ลุงก็อยู่ที่นั่นไม่ได้ ลุงก็เตลิดหนีเข้าเมืองเลย ยอมลำบากเป็นเด็กอู่ จนโตมาได้เป็นคนขับรถอยู่แถวนั้น พอเล่าจบก็ขับรถไปอีกซักพักก็นึง ถ้าจะกลับเข้าเมืองก็จะต้องยูเทิร์นแล้วก็จะผ่านหมู่บ้านนั้น ตอนนั้นพี่จิราใจหล่นไปที่ตาตุ่มเลย พี่จิราเห็นแสงไฟจากคบเพลิงจากคนในหมู่บ้านขวักไคว่เต็มไปหมดเลย แล้วก็เห็นชายฉกรรจ์ถือมีดถือไม้ครบมือเลย เหมือนว่ากำลังตามหาใคร ตอนนั้นพี่จิราบอกว่า กลัวสิ่งนั้นมากกว่าเจอผีอีก จนกระทั่งกลับมาที่โรงแรม ก็เจอพ่อของนุชอยู่ที่โรงแรมแล้ว พ่อของนุชก็บอกว่า รีบขับรถมาจากกรุงเทพเลย เพราะว่าแกฝันว่า เจอผู้หญิงฝรั่งคนนึงมาบอกว่าให้รีบกลับมารับลูก เพราะมันจะเกิดเรื่องไม่ดี ก็เลยรีบมา วันรุ่งขึ้นก็กลับบ้านกันทันที ส่วนตอนที่เห็น
แสงไฟและชายฉรรจ์ คิดว่าน่าจะเป็นคนในหมู่บ้านที่พยายามจะหาพี่จิราและเพื่อนเพื่อที่จะฆ่าปิดปากหรืออะไรซักอย่าง เพราะว่าพี่จิรารู้ความลับของหมู่บ้านนี้ พี่โนรีก็มาช่วยแล้วก็บอกให้รีบกลับไป เหลือเวลาไม่มากแล้ว
พี่จิราก็บอกส่งท้ายกับคุณแป้งว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีที่เจอ ก็คือการที่เห็นคนด้วยกันเองฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายทารุณโดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น และกฏหมายทำอะไรไม่ได้ แล้วพี่จิราก็บอกอีกว่าพี่เป็นคนมีเกียรติมีการศึกษา แล้วสิ่งที่พี่เจอตอนที่พี่ไปตอนไปอ่ะ พี่ไปทำงานเพื่อการเรียน ไม่ได้ไปเที่ยว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่เจอเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่อง เพราะพี่ไม่ได้อะไร รายการผีไม่ได้ทำให้เขาโด่งดัง สิ่งที่เขาเจอจะเรียกว่าเป็นเรื่องผียังยากเลย เพราะในเรื่องมีผีอยู่นิดเดียวเอง ที่เหลือเป็นเรื่องความโหดร้ายของคนทั้งนั้นCr:::theshockghost.xyz