คืนนี้ฉันอยู่คนเดียวเสียด้วยสิ ห้องที่ฉันอยู่นี้เป็นคอนโดฯ ชั้น 26 ที่เพิ่งเข้าอยู่กับพี่สาวเมื่อไม่ถึงเดือนมานี้เอง ราคาก็ไม่แพง แถมเฟอร์นิเจอร์ครบครันเพราะเจ้าของขายด่วน คงจะร้อนเงินหรือเกิดเหตุอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ฉันกับพี่ไม่สนใจหรอก
ห้องนี้น่าอยู่จะตาย วิวก็สวย ตอนกลางคืนอย่างนี้เห็นแสงสีระยิบระยับของกรุงเทพฯ พราวไปจนจรดขอบฟ้า ฉันว่าเราโชคดีมาก ที่มาพบห้องนี้ก่อนคนอื่น
วันแรกๆ เห่อมาก จัดการย้ายโซฟา ปรับโต๊ะเก้าอี้ให้ไปอยู่ในมุมใหม่ เอากระถางบอนไซไปทิ้งเพราะมันทำท่าจะเฉาตาย เจ้าของเก่าคงลืม หรือไม่ก็ไม่สนใจไยดีมันอีกแล้ว น่าสงสารจริงๆ
คงจะเป็นเพราะความวุ่นวายกับเฟอร์นิเจอร์ และห้องที่ยังมีกลิ่นอายของคนที่เคยอยู่เดิม ฉันก็เลยเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ...
ในฝันเห็นห้องนี้มีพ่อแม่ที่ยังหนุ่มยังสาว ลูกสาวเล็กๆ สองคนกำลังนอนพังพาบระบายสีกันง่วน คนเป็นแม่เดินเก็บผ้าที่ตากไว้บนราวที่ระเบียง...เธอหันมาเห็นฉันแล้วทำหน้า นิ่วคิ้วขมวด
"เอาบอนไซของฉันไปทิ้งที่ไหน?" น้ำเสียงและแววตาของเธอโกรธมาก "แล้วมาวุ่นวายย้ายของของเราทำไม?"
ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเข้ม เธอยกมือเท้าสะเอว ผ้าหล่นเกลื่อนพื้น พ่อที่เพิ่งเดินออกจากห้องหันมาจ้องหน้าฉัน เด็กๆ หยุดระบายสี เงยหน้ามองมาด้วยแววตาดุดัน
ทุกคนโกรธฉันจนฉันรู้สึกผิด!
ฝันแค่นั้นฉันก็ตื่นขึ้น...ฟ้าสว่างพอดี ฉันเล่าเรื่องฝันให้พี่สาวฟัง เธอบอกว่าเธอก็ฝันคล้ายๆ กัน มันแปลกมาก
วันต่อๆ มา พวกเขาก็มาปรากฏตัวในฝันของเราอีก จนเราชักสงสัยว่ามันเกิดอะไรกับพวกเขากันแน่? ฉันเลยลองเลียบๆ เคียงๆ ถามเจ้าของร้านทำผมที่มาเปิดอยู่ชั้นล่างสุดของคอนโดฯ แห่งนี้ ว่าพอจะทราบเรื่องของคนที่อยู่ห้องนั้นบ้างไหม?
เธอทำท่าว่ารู้จักดีทีเดียว ฉันรีบทำหูผึ่งรอฟังเรื่องราว
"น่าสงสารจริงๆ คุณปิ๋มที่อยู่ห้องนั้นก็เป็นลูกค้าของพี่ค่ะ ลูกๆ เธอน่ารักทั้งคู่ สามีก็ดี๊ดี พวกเขาไปต่างจังหวัดเมื่อสงกรานต์นี้เอง โดนสิบล้อเบรกแตกพุ่งชนตายทั้งหมดเลยค่ะ...พูดแล้วขนลุก" เธอทำหน้าสยอง ยกมือขึ้นลูบแขนไปมา ดิฉันกลืนน้ำลาย บอกไปตามตรงว่ามาซื้อห้องอยู่ต่อเอง...เจ้าของร้านเสริมสวยชะงักเลย ดิฉันจึงพูดให้เธอสบายใจ
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูไม่กลัว! ดีแล้วที่พี่บอกหนู เราจะได้ทำบุญให้เขาเพราะเราเป็นคนมาอยู่ใหม่"
ฉันทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นเอง ที่จริงน่ะนึกเสียวไส้พิกล...ที่ร้ายที่สุดของพวกเขาเฮี้ยนขนาดมาเข้าฝันฉันกับพี่สาวแล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม ฉันบอกพี่ว่าชีวิตก็แบบนี้แหละ เราไม่ได้มาแย่งชิงบ้านของเขานี่นาเขาตายแล้วก็ไปอยู่ภพอื่น ห้องนี้ญาติพี่น้องเขาก็ขายให้เรา ฉะนั้นถือว่าเราเข้ามาอย่างถูกต้องทุกประการ!
แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้น ฉันก็อดสยองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่สาวต้องไปต่างจังหวัด ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวในคืนมีพายุแบบนี้
คนเราเวลาอยู่ตามลำพัง และมีความหวาดระแวงเป็นทุนอยู่ในใจ เราก็มักจะหลอกตัวเอง...ฉันเริ่มแว่วเสียงเด็กเล็กๆ คุยกันจุ๋งจิ๋งในห้องนอน และเสียงเหมือนใครทำอะไรอยู่ในครัว แถมยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายโชยผ่านจมูก ราวกับใครบางคนเดินผ่านหน้าฉันไป...
ไม่เอาน่า! หลอกตัวเองทำไมก็ไม่รู้...
เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นๆ พี่สาวเราก็จะกลับมาแล้ว!!
ฉันเปิดทีวีเอาเสียงเป็นเพื่อนอยู่จนดึก ง่วงจนสัปหงกงุบงับ เลยปิดทีวีแต่ไม่ปิดไฟแล้วเข้านอน รีบซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม ในใจก็คิดว่าน่าจะซื้อแมวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนสักตัวท่าจะดีนะ
ฉันเคลิ้มหลับ และมันก็เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ เหมือนที่เกิดขึ้นเกือบทุกคืน...คือพอฉันจะหลับก็จะมีเสียงพ่อ แม่ ลูกคุยกัน ดูทีวีกันอยู่ข้างนอกนั่นดังแว่วเข้ามาทันที
แน่ล่ะ! ฉันเชื่อว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่ เพราะพวกเขาตายกะทันหันเหลือเกิน น่าสงสารจริงๆ ฉันต้องทำใจว่าเราอยู่กันคนละมิติ และเขาไม่ได้มาหลอกหลอน...นอกจากในความฝันเท่านั้น!