จะทำยังไงถ้าย่าของผมเป็นปอบ?
จากผู้ใช้พันทิปที่มีชื่อว่า 'RedMaster~MasterRanger' ได้เขียนกระทู้หัวข้อ "คุณย่าเป็นปอบ? ทำยังไงดีครับ" บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองไว้ว่า
"ขอเล่าพื้นฐานของที่บ้านก่อนนะครับ
ที่เป็นเป็นบ้านต่างจังหวัด ย่า(แน่นอน แม่ของพ่อผม) มีลูกหลานหลายคน ทั้งที่อยู่กับย่าและไปทำงานที่กรุงเทพ ย่ามีที่ดินแปลงเล็กๆ 1 แปลง โดยแบ่งให้ลูกสาว(ป้าผม 2 คน ในที่นี้จะเอ่ยถึงแค่ 1 คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้) ทำให้มีบ้าน 2 หลังปลูกอยู่ติดกันมีหลังเล็ก ของป้าคนเล็ก(ที่จะไม่เอ่ยถึงในนี้) ส่วนหลังใหญ่เป็นของป้าคนโต(จะขอแทนตัวป้าว่า ป้า ก.) ส่วนตัวผมหลังเรียนจบ(จบมา 3 - 4 ปีแล้ว) จึงเก็บเงินซื้อบ้านในเมืองเพื่ออยู่กับแม่(แม่ออกจากบ้านย่าไปทำงานที่อื่นเป็น 10 ปีแล้วเพิ่งให้กลับมาตอนซื้อบ้าน) ส่วนลูกป้า ก.อีกคนเช่าบ้านอยู่ปากซอยเพื่อเปิดร้าน ป้า ก. เลยอยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียว ย่าก็อยู่หลังเล็ก บางครั้งป้า ก. กลัวผีก็จะให้หลาน(ลูกของลูกสาวเขา) มานอนเป็นเพื่อนที่บ้านหลังใหญ่ หรือบางทีป้า ก. ก็จะไปนอนกับย่า ตอนเด็กๆ ผมก็ได้ยินเรื่องผีปอบแถวบ้านมาบ้างเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ป้า ก. นี่เชื่อแบบงมงายมาก ขนาดแกฝันว่าผีอำ แกเคยเล่าเป็นตุเป็นตะว่าผีปอบมากวนแก หลับลงทีไรมันก็มาทั้งคืน(สรุปคือฝัน) กลัวจนขนาดไม่กล้านอนห้องหน้าบ้านที่ติดถนนเพราะกลัวว่าผีปอบมันเดินเร่ร่อนตามถนน
ป้า ข. เป็นลูกของพี่ชายย่า เป็นรางทรงของกรมxxxx(ตามคำกล่าวอ้าง) เพิ่งย้ายกลับมาจากจังหวัดอื่น(แต่งงานไปอยู่กับสามีเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นมา) เขาก็นับถือของเขา(ย้ำว่าผมไม่มีเจตนาลบหลู่ความเชื่อของใคร) ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้เป็นร่างทรงอะไรมาก่อน เพิ่งมามีตอนหลังที่กลับมาอยูาบ้านนี้(มีความเชื่อมาตั้งแต่ก่อนย้ายกลับมา พอกลับมาก็นับถือต่อมาเรื่อยๆ) ส่วนสาเหตุที่เขามามีความสามารถด้านนี้ หรือเชื่อถือด้านนี้ขอไม่ลงรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แน่นอนว่าป้า ก. ได้ยินเรื่องแบบนี้ก็หูผึ่งทันที
เมื่อปี(2013) ย่าเริ่มป่วยเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ก็ไปหาหมอติดตามการรักษามาโดยตลอด ก็รักษาตามอาการเป็นปี ระหว่างนั้นพ่อผมก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ โดยก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นก็เคยถูกป้า ข. ทักว่ามีเคราะห์และทำการสะเดาะเคราะห์กับป้า ข. แล้ว(ผมไม่รู้รายละเอียดว่าทำตอนไหนยังไงเพราะไม่เจอพ่อมาหลายปี พ่อไปทำงานที่อื่นและพ่อแม่แยกกันอยู่ตั้งแต่แม่ไปทำงานที่อื่นแล้ว ผมเลยโตมาในบ้านย่า)
หลังจากพ่อผมเสียชีวิตได้เกือบ 1 ปี(ปลายปี 2014) ย่าก็อาการแต่หมอก็รักษาตามอาการต่อไปโดยไปตามนัดตามปกติ จนวันหนึ่งต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพราะย่ามีอาการไข้สูง หนาวสั่น หมอวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อในทางเดินปัสวะ ก็ได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นได้กลับบ้าน พอกลับมาบ้านป้า ข. ก็ทักว่าดวงของย่ากับลูกชายอีก 2 คนเชื่อมโยงกัน รั้งกัน ฉุดกัน(ภาษาแล้วบ้านใช้คำว่า "จ่องกัน") ด้วยเหตุของการ "จ่องกัน" นี้ บวกับเจ้ากรรมนายเวณส่งผลให้ลุงเป็นมะเร็งลำใส้(แต่รักษาตามขั้นตอนอาการดีขึ้นโดยการให้คีโมและผ่าตัด) แต่ป้า ข. ก็ทักว่านี่ไม่จบนะ ลุงต้องบวชขอชีวิตกับกรมxxxx ก่อน(มีกำหนดบวชปลายเดือนนี้) ลุงก็โอเคบวชให้ เพื่อความสบายใจของภรรยา โดยพิธีการบวชจะต่างจากประเภณีตามปกติของคนแถวนั้นหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ไม่ใช้หมอทำขวัญนาค(ใช้การสวดตามแนวทางของป้า ข. ) ส่วนของย่าป้า ข. บอกว่าพ่อผมมานอนรอย่าอยู่หน้าบ้านแล้ว(บอกท่าด้วยว่านอนยังไง) ช่วงเวลาที่ย่าป่วย กับลุงป่วยจะคาบเกี่ยวกันหน่อยผมลำดับอาจจะงงๆ แต่ลุงเริ่มตรวจเจอและรักษาก่อนย่านานหลายเดือนต่อเนื่องจนย่าป่วย
พอเข้าปี 2015 ย่าเริ่มอาการเกี่ยวกับโรคปอดหนักขึ้น มีอาการไอเป็เลือดได้นอนโรงพยาบาล หมอวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคปอด(ป้า ก. ก็เคยเป็นเมื่อ 2 - 3 ปีก่อนแต่ก็รักษาแล้ว) ก็ได้นอนโรงพยาบาลเกือบสัปดาห์และได้กลับบ้าน ระหว่างที่นอนโรงพยาบาลเวลาไปเยี่ยมย่าก็จะร้องไห้ทุกครั้งโดยที่ไม่รู้สาเหตุ ย่าก็ไม่พูดและผมก็ไม่อยากซักไซ้ย่าเพราะย่าพูดไม่ค่อยมีเสียงเลยกลัวย่าเหนื่อย ก็เลยคิดว่าย่าน้อยใจลูกหลาย หรือคิดถึงลูกหลานผมเลยเฟซไทม์ไปหาหลานสาวที่ย่ารักมากอีกคนให้บ่อยๆ ย่าก็ชอบมากที่ได้เห็น พอกลับบ้านก็ยังมีไข้อยู่บ้างเป็นบางวัน แต่ย่าไม่ยอมทานข้าวทานยา(ยาเยอะมาก) ย่าผอมมาก(ย่าเป็นตัวเล็ก และผอมอยู่แล้ว) โดยวันที่ต้องเข้าโรงพยาบาลย่าได้ให้ป้า ก. ไปถวายเหล้าและไก่ที่ตำหนักป้า ข. และกำลังจะนำไก่ที่ถวายนั้นมาทำกินกัน โดยป้า ก. บอกว่าย่าบอกให้เอาไก่ไปแบ่งลูกหลานกินกันนะ ย่าไม่กิน(จำคำนี้ไว้ในใจก่อนครับเดี๋ยวมาขยายความ)
ด้วยความที่ผมอยู่ไกลบ้านย่าและต้องทำงานทำให้ไปหาทุกวันไม่ได้เลยให้แม่ไปดูแลแทน พาอาบน้ำ ป้อนข้าว บังคับกินยาพายกแขนยกขาตามที่หมอสอนมา(ย่านอนตลอดทำให้ปอดไม่ดีจะมีท่าสอนให้ทำกายภาพบริการปอดด้วย) และการบีบนวดให้ ย่าก็มีแรงสบายตัวขึ้น แม่ผมก็ไปเกือบทุกวัน
จนวันที่ 10 มีนาที่ผ่านมาแม่ก็เข้าไปตามปกติ(ก่อนหน้านั้นไม่ได้เข้าไป 2 วันติดๆ เพราะต้องไปจัดการเรื่องธนาคารให้ย่าและทำธุระที่บ้าน) พอไปถึงป้า ก. บอกว่าอย่าเข้าไปคลุกคลีกับป้ามาก ด้วยความใจซื่อก็เลยคิดว่าป้าคงกลัวติดเชื้อวัณโรคจากย่า แต่มันโป๊ะแตกขึ้นมาเมื่อได้ยินป้า ข. พูดว่า "นั้นไม่ใช่ย่าแล้ว ย่าเราตายไปแล้ว ที่เห็นคือไม่ใช่ย่า เค้ารอหาที่อยู่ใหม่" ถึงบางอ้อ ย่าเป็นปอบเลยไม่อยากให้เข้าไปคลุกคลีเดี๋ยวปอบกินย่าหมดแล้วจะมาเข้าแม่ผมเป็นตัวแทน!!
โอเค ได้ยินแค่นั้นมันก็แค่คำพูด ไม่ถือสาอะไร แต่ป้า ก. ที่ม่ความเชื่อ(กลัว) เรื่องผีสางอยู่แล้วเชื่อสนิดใจและฝังใจมากว่าแม่ตัวเองเป็นปอบ!! เชื่อขนาดไหน? ก็ขนาดปล่อยให้ย่านอนบ้านเล็กคนเดี๋ยวทั้งคืนโดยไม่สนใจว่าถ้าย่ามีอาการหอบขึ้นมาจะเป็นยังไง ตอนกลางวันย่าจะมานอนเตียงหน้าบ้านป้า ก. ก็อยู่เฝ้าบ้างไม่อยู่เฝ้าบ้างไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนบ้านคนนั้นคนนี้บ้าง แต่คำที่ผมได้ยินแล้วน้ำตาแตกคือน้าข้างบ้านบอกว่าย่าคลานเข้าห้องน้ำเพราะย่าร้อน ไอ้เ-ี้ย!! ย่าผมต้องลำบากมากเพราะความเชื่ออะไรก็ไม่รู้นี่เหรอ ไม่พอคำพูดที่ออกมาอีกคือ อย่าไปนวดไปอะไรให้ย่ามากเพราะเดี๋ยวแกฟื้นตัว ห๊ะ! กลัวย่าฟื้นตัวปล่อยให้แกไปอย่างสงบเถอะ หมายถึงกลัวผีปอบมันฟื้นตัวเลยปล่อยให้ย่าผม ให้แม่ตัวเองตายเนียนะ!! พอได้ยินแบบนั้นทุกอย่างก็กระจ่าง ได้คำตอบเลยคำว่าทำไมถึงไม่มีใครไปนอนเป็นเพื่อนย่า ทำไมถึงพูดย้ำๆว่าย่าให้เอาไก่มาแบ่งกันกัน(คงคิดว่าย่าจะส่งต่อปอบให้ทั้งที่ย่าไม่ได้แตะต้องไก่นั้นเลย)
เรื่องที่อยากขอคำปรึกษาคือ ผมควรพูดยังไงให้ป้าทั้ง 2 หรือแค่ป้า ก. เลิกความคิดเรื่องปอบได้บ้าง เพราะย่าจะตายอยู่แล้ว เป็นโอกาสเดียวที่ป้า ก. จะได้ดูแลแม่ครั้งสุดท้ายแล้ว ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ"
ที่มา : Pantip
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น